แนะนำแหล่งท่องเที่ยวของทางภาคเหนือ

เราจะพาท่านขึ้นไปเที่ยวภาคเหนือของประเทศไทยเรา ว่ามีแหล่งท่องเที่ยวอะไรที่น่าสนใจบ้างเชิญไปเที่ยวไทยกับเราเลยยย

กว่า 2,500 โรงแรม รีสอร์ททั่วประเทศให้คุณเลือกในราคาลดพิเศษสูงสุด 75%

ให้บริการโดย www.paiteawthai.blogspot.com ร่วมกับ www.ido24.com •โทรแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อยืนยันการชำระเงินที่ 02 664 0939

สนใจลงโฆษณาตรงนี้ ขนาด 930*300 pixels

ติดต่อลงโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์ข่าวสาร ธุรกิจท่านตรงนี้ราคาเพียง 599 บาท/ เดือนเท่านั้น โทร.084-4101901

สนใจลงโฆษณาตรงนี้ ขนาด 930*300 pixels

ติดต่อลงโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์ข่าวสาร ธุรกิจท่านตรงนี้ราคาเพียง 599 บาท/ เดือนเท่านั้น โทร.084-4101901

แนะนำโรงแรม รีสอร์ท บังกะโล โฮมสเตย์ ที่พักต่างๆ

แนะนำที่พักต่างๆอาทิเช่นโรงแรม รีสอร์ท โฮมสเตย์ สอบถามราคา และสั่งจองล่วงหน้าได้ที่นี่

เที่ยวน้ำตกแม่พลู เมืองลับแล

น้ำตกแม่พลู อำเภอ ลับแล
หมู่ 4 บ้านต้นเกลือ ตำบลแม่พูล เป็นน้ำตกที่เกิดจากการตกแต่งธารน้ำ โดยการเทปูนให้น้ำไหลลดหลั่นจากบนเขาสูงลงมา ดูคล้ายน้ำตกธรรมชาติ สูงหลายชั้น สภาพโดยรอบร่มรื่น บริเวณใกล้ ๆ น้ำตกเป็นสวนลางสาด บริเวณน้ำตกมีร้านจำหน่ายของที่ระลึก ร้านอาหาร และที่จอดรถไว้บริการ
การเดินทาง จากอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ถึงอำเภอลับแล ระยะทาง 8 กิโลเมตร จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 1043 ประมาณ 12 กิโลเมตร หรือขึ้นรถสองแถวที่ถนนตุลาสถิตย์ ในตัวเมืองรถจะออกทุก 30 นาที ตั้งแต่เวลา 6.00-17.30 น.
 
 

 ม่อนลับแล ร้านอาหารท่ามกลางธรรมชาติ ตั้งอยู่บนเส้นทางไปน้ำตกแม่พูล ห่างจากแยกศรีพนมมาศประมาณ 1 กิโลเมตร ภายในมีเรือนทอผ้าม่อนลับแล ซึ่งรวบรวมผ้าทอพื้นเมืองลับแลจากอดีตสู่ปัจจุบัน บ้านของฝากม่อนลับแล จำหน่ายสินค้าหัตถกรรมพื้นเมือง ผ้าทอพื้นเมือง อาหารและของฝากเอกลักษณ์เมืองลับแล ผลไม้ตามฤดูกาล
และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เส้นทางวัฒนธรรมเมืองลับแล บริการนำเที่ยวตามเส้นทางวัฒนธรรมและตำนานเมืองลับแลด้วยจักรยาน พร้อมมัคคุเทศก์ท้องถิ่น ชมโบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ชมการขนส่งผลไม้ข้ามภูเขาด้วยลวดสลิงแห่งเดียวในประเทศไทย และอิ่มอร่อยกับทุเรียนเลิศรสพันธุ์หลงลับแล หลินลับแล ลางสาด ลองกอง และลางกอง ดินแดนแห่งผลไม้อันได้ชื่อว่า “ภูเขากินได้” ติดต่อ โทร. 05543 1439

 
 
 

เแนะนำที่ยวสกลนคร

สกลนคร เป็นเมืองพุทธศาสน์ พระธาตุห้าแห่ง แหล่งอารยธรรมสามพันปี ตามตำนานเล่าว่า เมืองหนองหานหลวงในอดีต หรือสกลนครในปัจจุบันนั้น สร้างขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 16 ในยุคที่ขอมมีอำนาจในดินแดนนี้ ต่อมาเมื่ออิทธิพลขอมเสื่อมลง เมืองหนองหานหลวงตกไปอยู่ในความปกครองของอาณาจักรล้านช้าง เรียกชื่อเมืองว่า “เมืองเชียงใหม่หนองหาน” และเมื่อมาอยู่ในความปกครองของไทย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “เมืองสกลทวาปี” ต่อมา ในปี พ.ศ. 2373 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เปลี่ยนชื่อจากเมืองสกลทวาปี เป็น “เมืองสกลนคร” ในปัจจุบัน จังหวัดสกลนครยังได้รับการขนานนามว่าเป็น"แอ่งธรรมะแห่งอีสาน" ดังเห็นหลักฐานได้จากวัดวาอารามเก่าแก่ที่มีอยู่มากมาย แสดงถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาที่มีมาตั้งแต่ครั้งอดีต เป็นถิ่นกำเนิดและพำนักของอริยสงฆ์ที่สำคัญเป็นที่เคารพบูชา ของชาวไทยหลายท่าน อาทิ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์วัน อุตตโม หลวงปู่หลุย จันทสาโร หลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี เป็นต้น
จังหวัดสกลนคร อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 647 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ 9,605 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 18 อำเภอ คือ อำเภอเมืองสกลนคร อำเภอกุสุมาลย์ อำเภอกุดบาก อำเภอ พรรณานิคม อำเภอวาริชภูมิ อำเภอส่องดาว อำเภอสว่างแดนดิน อำเภอวานรนิวาส อำเภออากาศอำนวย อำเภอบ้านม่วง อำเภอพังโคน อำเภอคำตากล้า อำเภอนิคมน้ำอูน อำเภอเต่างอย อำเภอโคกศรีสุพรรณ อำเภอเจริญศิลป์ อำเภอโพนนาแก้ว และอำเภอภูพาน


พระธาตุเชิงชุม
ประดิษฐานที่ววัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหารในเขตเทศบาลเมืองสกลนครเป็น
เจดีย์ก่ออิฐถือปูนฐานรูปสี่เหลี่ยม สูงประมาณ 24 เมตร สวนบนเป็นทรงบัวสีเหลี่ยมยอดฉัตรทองคำภายในมีรอยพระพุทธบาทโดยมีตำนานเล่ากันมาว่า ตามประเพณีแล้วพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะต้องมาประชุมรอยพระพุทธบาท ณ ดินแดนแห่งนี้ นับตังแต่พระเจ้ากกุสันธะ โกนาคมนะ กัสสปะ และโคตมะ รวมกันเป็น 4 พระองค์ และนัยว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ "พระศรีอารยเมตไตรยพุทธเจ้า" ก็จะต้องมาประทับรอยพระบาท ณ ที่แห่งนี้ในอนาคตเช่นกัน นอกจากนี้ บริเวณใกล้เคียงกับองค์พระธาตุเชิงชุมยังเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อองค์แสนอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพนับถือและเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในจังหวดสกลนคร งานนมัสการพระธาตุเชิงชุมจะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 9 ค่ำ ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ของทุกปี (ราวเดือนมกราคม)

พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และเจดีย์ พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หลุย จันทสาโร
สถานที่สำคัญทั้งสองแห่งตั้งอยู่ภายในวัดป่าสุทธาวาส เขตเทศบาลเมืองสกลนคร ซึ่งร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพรรณ ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก่อสร้างแบบสถาบัตยกรรมไทยประยุกต์ ที่ดูเรียบง่าย ภายในมีรูปหล่อพระอาจารย์มั่นในท่านั่งสมาธิ และอัฐิของท่านที่แปรสภาพเป็นผลึกใสสีขาวบรรจุอยู่ในตู้กระจก พร้อมเครื่องอัฐิบริขาร และเรื่องราวประวัติชีวิตของพระเกจิสายวิปัสนากรรมฐานท่าน ี้ตั้งแต่เกิดจนมาณภาพ
ส่วนเจดีย์พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หลุย จันทสาโร หรือ "จันทรสาร เจติยานุสรณ์" สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิธาตุของหลวงปู่หลุย จันทสาโร ศิษย์เอกของพระอาจารย์มั่น รูปแบบเจดีย์ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายในเจดีย์มีหุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนหลวงปู่หลุย และเครื่องอัฐบริขารของท่าน พร้อมนิทรรศการทางพุทธศาสนาที่มีการติดตั้งโสตทัศนูปกรณ์ประกอบนิทรรศการอย่างครบถ้วน ทันสมัย สามารถปรับใช้เป็นสถานที่ให้ธรรมศึกษา ปฏิบัติสมาธิหรือกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเป็น พระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี
พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
ตั้งอยู่ที่วัดป่าอุดมพร อำเภอพรรณานิคมห่างจากตัวจังหวัด ประมาณ 39 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 22 ( สกลนคร - อุดรธานี) พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นพระเกจิสายวิปัสนากรรมฐาน ลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น สำหรับตัวพิพิธภัณฑ์ทำเป็นรูปเจดีย์ฐานกลม แต่ละด้านก่อปูนเป็นรูปกลีบบัวซ้อนกันสามชั้น ภายในอาคารมีรูปปั้นพระอาจารย์ฝั้น ขนาดเท่าจริงตู้กระบรรจุอัฐิบริขารที่ท่านเคยใช้ รวมทั้งประวัติของท่านตั้งแต่เกิดจนมรณภาพ

เจดีย์พิพิธภัณฑ์หลวงปู่เทศก์ เทสรังสี
ตั้งอยู่ ณ วัดถ้ำขาม อำเภอพรรณานิคม ตัววัดตั้งอยุ่บนยอดเขาลูกหนึ่งในเทือกเขาภูพาน มีบรรยากาศที่สงบร่มรื่น และมีทิวทัศน์ที่งดงาม ลักษณะอาคารเป็นเจดีย์ศิลปกรรมอีสานผสมกรุงศรีอยุธยา ภายในมีรูปหล่อสำริดหลวงปู่เทศก์ เทสรังสี นิทรรศการแสดงประวัติและเครื่องอัฐบริขาร ใกล้กันนั้นมีกุฏิเดิมของพระอาจารฝั้น อาจาโร ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งวัดแห่งนี้ และต่อมาหลวงปู่เทสก์ได้มาจำพรรษาที่กุฏิหลังดังกล่าวจนละสังขารในปี พ.ศ. 2537
วัดป่าโนนกลางภู่
ตั้งอยู่ในอำเภอพรรณานิคม ห่างตัวจังหวัดประมาณ 20 กิโลเมตร ภายในวัดมีบรรยากาศร่มรื่น และมีอาคารไม้ซึ่งเป็นกุฎิที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ใช้พักในความที่ที่านอาพาธระยะสุดท้ายก่อนจะมรณภาพ ปัจจุบันอาคารหลังนี้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเครื่องอัฐบริขารของ พระอาจารย์มั่นขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งน
ี้

วัดคำประมง
ตั้งอยู่ที่บ้านคำประมง ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม ห่างจากตัวจังหวัด ประมาณ 40 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 22 (สกลนคร - อุดรธานี) ภายในวัดมีการก่อสร้างอาคารตามแบบ สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ บรรยากาศโดยรอบบริเวณร่มรื่น วัดแห่งนี้เคยเป็นที่จำพรรษาของพระครูสันติวรญาณ (หลวงปู่สิม พุทธสาโร) พระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกรูปหนึ่ง
วัดอภัยดำรงธรรม
หรือวัดถ้ำพวง ตั้งอยู่บนยอดเขาจุดที่สูงที่สุดในเขตตำบลปทุมวาปี อำเภอส่งดาว ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 105 กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 22 (สกลนคร-อุดรธานี) รถยนต์สามารถเข้าถึงบริเวณที่ตั้งวัดได้ ภายในวัดมีเจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์วัน อุตตโม ซึ่งเป็นพระเกจิสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงอีกรูปหนึ่ง และบริเวณไม่ใกล้กันนัก เป็นที่ตั้งของสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ที่จำลองถสานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้และรำลึกถึงพระพุทธคุณ

เพลินแพไพร...ในเชี่ยวหลาน


เพลินแพไพรในเชี่ยวหลาน (อ.ส.ท.)1. เผลอทีไรเป็นต้องนึกว่ากำลังเพลินใจอยู่กลางทะเลใน ซึ่งรายล้อมด้วยกลุ่มเกาะหยึกหยักทุกที เป็นเพราะผืนน้ำกว้างใหญ่ที่รายรอบเราอยู่นั้นมีสีเขียวมรกตใส บางคราวมีระลอกคลื่นน้อย ๆ จากการเคลื่อนของเรือหางยาว ที่แล่นนำนักท่องเที่ยวมายังแพพักเอกชนซึ่งอยู่ไกลจากท่าเทียบเรือ เขื่อนรัชชประภา หรือ เขื่อนเชี่ยวหลาน ที่สุด

ที่นี่คือแพ 500 ไร่ ซึ่งเป็นแพเอกชนที่สะดวกสบายและได้มาตรฐาน เรือนพักแต่ละหลังล้วนแข็งแรง มั่นคง ตามหลักวิศวกรรมโครงสร้าง เบื้องหน้าคือเทือกเขาสูงใหญ่ เขียวครึ้ม ทว่าก็มีบางหย่อมเขาที่เผยความแข็งแกร่งของผาหินปูนให้เห็นเด่นชัด ส่วนเบื้องหลังคือเกาะเล็ก ๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเขาสูงชัน

ภาพงามตรึงตราปรากฏให้เห็นในยามเช้า เมื่อม่านหมอกขาวบางแผ่พาดผ่านแนวเขาเรี่ยไล่กับผิวน้ำ ส่วนยามเย็นแสงสีทองอบอุ่นที่สาดจับขุนเขาและทาบทาผิวน้ำจนเกิดประกายระยิบ ก็เป็นอีกความงามที่ผู้เข้าพักได้รับเป็นของขวัญประจำวัน … "สวย สงบ สดสะอาด" คือสิ่งที่สัมผัสได้จริงในพื้นที่แห่งนี้

เชี่ยวหลาน

ห่างจากท่าเทียบเรือมาด้วยระยะเวลานั่งเรือหางยาวราว 50 นาที โลกรอบตัวก็แปรเปลี่ยนเป็นอีกบรรยากาศ เราถูกล้อมไว้ด้วยขุนเขาสูงใหญ่ ซึ่งเมื่อลองจินตนาการถึงวันที่มวลน้ำมหาศาลยังไม่หลากรวมมาขังเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่กินพื้นที่ 185 ตารางกิโลเมตร ด้วยความลึกยาว ๆ 80 – 100 เมตร เทือกเขาเหล่านี้คงสูงลิบลิ่วจนต้องแหวนสุดคอเพื่อมองยอดชัน

ผืนป่ารอบตัวเราขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาสก ส่วนป่ารกชัฏผืนใหญ่ทอดยาวต่อเนื่องอยู่ลึกเข้าไปด้านใน คือ พื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง ซึ่งป่าเขาสก-คลองแสงนี้นับเป็นป่าดงดิบที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของเทือกเขาตะนาวศรี บนรอยต่อเชื่อมโยงของจังหวัดสุราษฎร์ธานี พังงา และระนอง นึกไปก็สะดวกดีที่เราเข้ามาสู่วงล้อมของป่าดงดิบโดยทางเรืออย่างง่ายดาย เพราะปกติแล้วการเข้าสู่ใจกลางป่าอนุรักษ์มักต้องเดินฝ่าความรกเรื้อเป็นวัน ๆ แต่ก็นั่นแหละ...แม้ไม่ลำบากยากเย็นกับการเดินทาง แต่ก็ต้องแลกด้วยการทิ้งความเคยชินของคนเมืองหลวงอยู่พอควร ทั้งสัญญาณโทรศัพท์มือถือทุกค่ายที่พร้อมใจกันหายไปหมดเกลี้ยงเมื่อเดินทางมาถึงแพ รวมถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ไร้ร่องรอย ดับความหวังในการถ่ายทอดสดบรรยากาศรื่นรมย์ผ่านเฟซบุ๊กไปจนสิ้น


เชี่ยวหลาน


"เราใช้ ว. ติดต่อกันครับ ถ้ามีเหตุฉุกเฉิน เหตุจำเป็น เราก็ติดต่อทางฝั่งได้ทันที" เบิ้ล อติรัตน์ ด่านภัทรวรวัฒน์ เจ้าของแพ 500 ไร่ บอกกล่าว แถมท้ายด้วยข้อมูลว่ามีเรือประจำการพร้อมออกเดินทางในยามฉุกเฉิน เป็นการสร้างความอุ่นใจอีกชั้น นอกเหนือจากความปลอดภัย เรื่องที่น่าชื่นชมที่สุดคือแนวคิดด้านการอนุรักษ์และการจัดการสิ่งแวดล้อม ที่นี่มีระบบบำบัดน้ำเสียเป็นเป็นราว ส่วนห้องสุขาที่มีประจำแพพักทุกหลังใช้ระบบถังเก็บ มีท่อปล่อยก๊าซไม่ให้ขังแน่นจนอาจระเบิด (ไม่อยากนึกภาพนั้นเลย!) และจะมีเรือมาสูบของเสียออกเป็นระยะ

"เราสร้างห้องน้ำบนบกไม่ได้ เพราะผิดกฎอุทยานฯ แพ 500 ไร่ ได้รับใบอนุญาตให้ทำกิจการจากอุทยานฯ เขาสก เราต้องรักษากฎอย่างเคร่งครัดครับ" เจ้าของหนุ่มซึ่งมีใจอนุรักษ์ตอบคำถามเกี่ยวกับห้องสุขาที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมไม่สร้างบนบกเสียเลย ส่วนขยะทั้งหมดจะถูกขนลงเรือไปกำจัดที่ฝั่ง รวมทั้งผ้าใช้งานแล้วทั้งหลายก็ถูกนำไปซัก-ตากบนฝั่ง

"ผมจบวิศวะสิ่งแวดล้อม เรื่องแบบนี้ผมใส่ใจแน่นอนครับ" ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของแพยืนยันหนักแน่น หมดข้อสงสัยในเรื่องราคาที่พักและแพ็กเกจที่สูงกว่าแพอื่นทันที เมื่อได้รับรู้ว่าระบบการจัดการของที่นี่มากมายขั้นตอนเพียงใด ยิ่งเมื่อนึกถึงความกระตือรือร้นและใบหน้ายิ้มแย้มของพนักงานทุกคน รวมกับห้องพักสวย สะอาด สะดวก อาหารอร่อยแบบจัดเต็มทั้งคุณภาพและปริมาณเงินทุกบาทที่จ่ายไป ก็นับว่าคุ้มค่านักกับความสุขและความยั่งยืนของธรรมชาติที่เรามีส่วนร่วมรักษาไว้

เชี่ยวหลาน

2. เสียงชะนีกู่ก้องราวป่าแว่วมาจากตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง ขณะเราเดินไปบนทางลำลองสายเล็กที่แวดล้อมด้วยพรรณไม้ป่าดิบ แทรกด้วยเสียงร้องของนกกก นกแก๊ก ซึ่งบางตัวบินพั่บ ๆ โผจากเรือนยอดหนึ่งไปอีกเรือนยอดหนึ่งเพื่อหาลูกไม้เป็นอาหารเช้า พื้นดินแผ่ไอเย็นชื้นขึ้นมาอาบอวลทั่วบริเวณ ช่วงเวลา 7 โมงกว่า แสงแดดยังไม่ส่องสาด นับเป็นเวลาที่เดินสบาย จะว่าไปแล้ว...แม้แดดจัดจ้า อย่างไรก็ไม่อาจทะลุทะลวงแสงผ่านเรือนยอดไม้แผ่นกว้างลงมาได้เต็มที่

ป้าย "จุดชมวิวไกรสร 1.5 กม." ที่ปักไว้ตรงปากทางเดินขึ้นเขา หลังจากเรือหางยาวแล่นเข้าเทียบฝั่ง บอกให้รู้ว่าจุดชมวิวสวยนั้นอยู่ไม่ไกลนัก

เชี่ยวหลาน

"เดินสบาย ๆ ครับ เหนื่อยตรงช่วง 200 เมตรสุดท้ายนั่นละ" กั้ง กัณฐกะ ก้อนทรัพย์ ไกด์หนุ่มผู้มีเสียงกึกก้องให้ข้อมูลก่อนลงเรือมาถึงจุดเริ่มเดิน แล้วฉันก็เข้าใจว่าเหนื่อยอย่างไรเมื่อเดินมากว่าครึ่งชั่วโมง ทางข้ามหน้านั้นสูงเชิดชันลิ่ว ไม่มีใครว่าอะไร ถ้าเราจะเดินในจังหวะเนิบ แต่ไม่เนือย ค่อย ๆ ส่งแรงขาพาตัวเองขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยมีเหงื่อหยดหยาดเป็นทางยาวไล่ลามตามผิว หยุดพักเป็นช่วง ดูดอกไม้สีสวยบนผาหิน ชื่นชมดงเห็ดตรงขอนไม้ผุ แม้ว่าเราอาจใช้เวลาเกินกว่า 3 ชั่วโมง ในการไป-กลับตามที่กั้งบอกไว้ แต่จะเป็นไรไป ในเมื่อเราไม่เร่งรัดเรื่องเวลาอยู่แล้ว

ทางโหดแท้จริงอยู่ตรง 10 เมตรสุดท้าย ซึ่งระเกะระกะไปด้วยหินปูนแหลมคมแทบทั้งนั้น ถ้าพลาดล้มก็มีสิทธิ์เสียเลือดแน่ เหงื่อไหลพรู ทั้งร้อนและทั้งลุ้นในคราวเดียวกัน แล้วรางวัลก็ปรากฏตรงหน้าเมื่อขึ้นมาถึงยอดเขา ซึ่งเมื่อมองจากในเรือจะเห็นเป็นสามเหลี่ยมเล็ก ๆ แต่แหลมเฟี้ยวและสูงนัก กลับกัน...เมื่อขึ้นมาอยู่บนยอดแล้วมองลงไป เราเห็นผืนน้ำเว้าแหว่งเป็นรูปร่างของแนวเขาชัดตา ผืนน้ำนิ่งเรียบราวกระจก สายลมพัดเย็นชื่นไล่ความเปียกชื้นจากเหงื่อไปจนหมด

เชี่ยวหลาน

หลังจากเลือกก้อนหินรูปร่างพอเหมาะ ไร้รอยแหลมคม เรานั่งลงมองผืนป่าและสายน้ำเบื้องล่างด้วยความชื่นใจ นี่เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของป่าดงดิบพื้นที่กว่าแสนไร่อันเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่า และเป็นแหล่งออกซิเจน สร้างอากาศสดสะอาดให้สูดหายใจได้อย่างเต็มปอด ณ เวลานี้ มีพรรณไม้มากมายซุกแน่นอยู่บนเกาะเล็ก ๆ และดกดื่นตามเขาสูงที่เราเห็นลิบ ๆ เบื้องล่าง

นอกจากพรรณไม้ป่าดงดิบ ยังมีต้นไม้หายาก ที่มีชีวิตอยู่บนเขาหินปูน เช่น กกเขาสก (Khoasokia caricoides) พืชเฉพาะถิ่นที่พบในบริเวณเขื่อนเชี่ยวหลาน อุทยานแห่งชาติเขาสก และบางพื้นที่ในอำเภอศีรีรัฐนิคม จังหวะสุราษฎร์ธานี มองเผิน ๆ มันคล้ายกอหญ้าแห้งที่ค้างคาเป็นกระจกบนหน้าผา ถ้าไม่มีผู้รู้บอกกล่าว เราคงมองผ่านเลยมันไปแน่นอน

นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพรรณไม้ที่ฉันเพิ่งรู้จักจากการเดินทางครั้งนี้ ยังมีสิ่งมีชีวิตในป่าที่รู้ฤทธิ์มานาน และพบเจอแทบทุกครั้งเมื่อพาตัวเองเข้าสู่ป่าดิบ คือ ทากดูดเลือด ซึ่งบางครั้งก็เหมือนกับว่ามันหายตัวเข้ามาเกาะกินเลือดเราอย่างไรอย่างนั้น จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อมันอิ่มหลุดไป ฝากรอยดูดชุ่มเลือดให้ดูต่างหน้าเท่านั้น

ขากลับเดินสบาย ฉันทิ้งห่างพรรคพวกพอควร เดินเงียบ ๆ เพียงลำพัง จู่ ๆ ก็มีตัวอะไรสักอย่างกระโจนแผล็วตัดหน้าไปอย่างเร็วรี่ แล้วไปเคลื่อนกุกกักในพุ่มรก มองตามสักพักจึงเห็นว่ามัน คือ กระจงตัวน้อยหน้าตาเหมือนหนู แต่ขายาวเรียวเล็ก แปลกใจที่ได้เจอ เพราะเท่าที่รู้มากระจงจะออกหากินตอนกลางคืน ไม่ใช่ยามสายอย่างนี้

กลับลงมาถึงตลิ่งที่เรือจอด ฉันพบว่าระยะทางเพียง 1.5 กิโลเมตรนั้น สร้างความประทับใจมากมายเหลือเกิน

เชี่ยวหลาน

3. แพ 500 ไร่ ใช้ไฟปั่น ถ้าอยากเปิดพัดลม ชาร์จแบตเตอรี่ ต้มน้ำดริปกาแฟ ฯลฯ เราต้องทำในช่วงเวลา 5 โมงเย็นถึง 9 โมงเช้าเท่านั้น เมื่อเครื่องปั่นไฟพักการทำงานก็เป็นเวลาที่แดดจัดจ้าส่งผ่านความร้อนมาพอดี แล้วจะมีอะไรดีไปกว่าการกระโดดน้ำตูม ๆ อยู่ตรงหน้าห้องนอน หรือไม่ก็พายคายักเลาะเลียบขอบเขาไปดูนกลอยลำนิ่ง ๆ อาบไอเย็นจากผืนป่า แต่ถ้าอยากส่องสัตว์จริงจัง ซื้อทัวร์ลงเรือหางยาวตระเวนรับลมไปเรื่อย ๆ จะดีกว่า ให้พนักงานช่วยจัดอาหารเที่ยงไปกินในเรือเป็นการปิกนิกหนีร้อนก็เข้าท่ายิ่งนัก

เราลงเรือออกตระเวนเมื่อเครื่องปั่นไฟหยุดทำงาน ไม่ได้หวังว่าจะเห็นสัตว์ป่านอกจากนก เพราะสัตว์คงไม่อยากออกมาหากินริมน้ำในช่วงกลางวันแดดจ้าสักเท่าไหร่ สิ่งมีชีวิตที่เราเห็นได้ไม่ยาก คือ นกออก ที่เกาะตอไม้ตายโดยสายตาคมกริบจ้องจับปลาที่ขึ้นมาใกล้ผิวน้ำ อีกทั้งยังมีนกกระเต็นปากแดงแจ๊ดซึ่งอาจมองปลาตัวเดียวกับนกออกอยู่ก็เป็นได้ เมื่อลอยเรือเข้าใกล้ตลิ่ง มองเห็นสาหร่ายหางกระรอกดกดื่นอยู่ใต้น้ำ ได้ยินเสียงจ๋อมดังใกล้ ๆ พงษ์ ณัฐพงษ์ สถิตย์ คนขับเรือมาดติสต์บอกว่าเป็นปลาชะโด ก่อนเหวี่ยงเบ็ดลงไปยังจุดที่เห็นน้ำกระเพื่อมไหว

"แต่ก่อนคนล่าสัตว์เยอะครับ กระทิง เก้ง กวาง เลียงผา โดนทั้งนั้น แต่พอกรมประมงปล่อยพันธุ์ปลา และอนุญาตให้ชาวบ้านทำประมงขนาดเล็กได้ คนล่าสัตว์ก็น้อยลงมาก จะไปเสียเวลาทำผิดกับการล่าสัตว์ทำไม กว่าจะได้สักตัวไม่ใช่ง่าย ทำประมงพื้นบ้านดีกว่า ได้ปลาทุกวัน มีเงินพอเลี้ยงตัว ยิ่งพอการท่องเที่ยวบูมขึ้น คนล่าสัตว์ยิ่งน้อยลง มีคนมาเที่ยวเยอะก็เหมือนมีคนมาช่วยจับตามองครับ"

เชี่ยวหลาน

นับเป็นข้อดีของการท่องเที่ยว ถ้าจัดที่ทางและวางระเบียบเป็นระบบ การมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนพื้นที่อนุรักษ์ ก็ใช่ว่าจะนำมาซึ่งความเสื่อมโทรมสถานเดียวอย่างที่หลายคนคิด

เป็นอย่างที่คาด การล่องเรือยามสายจนเที่ยงไม่ได้เปิดโอกาสให้เราพบสัตว์ป่าเท่าเทียมยามเช้า เมื่อเช้านี้กั้งรับหน้าที่ขับเรือพาเราตระเวนหาต้นไทรที่มีลูกสุก เพราะนั่นคือแหล่งรวมของสัตว์ป่าสารพัน แต่เรามาถึงในช่วงที่ต้นไทรในบริเวณรัศมี 5 กิโลเมตร จากแพ 500 ไร่ เพิ่งหมดผลไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง จึงไม่เหลือแหล่งปาร์ตี้ให้ส่ำสัตว์ออกมารวมตัวกันคึกคักอย่างที่ต้องการ ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมีโชคอยู่บ้าง เมื่อเจ้าสัตว์ตัวน้อยออกมาผึ่งปีกผึ่งขนให้เห็น ทั้งนกแก๊กที่อยู่ในช่วงจับคู่ บินเข้าจิกกินลูกค้อพลางกางปีกไปพลาง ชะนีมือขาวและชะนีดำห้อยโหนพร้อมส่งเสียงอั๋ว ๆ เป็นระยะ มีลิงหางยาวนั่งรับแสงส่องขนเป็นประกาย อีกทั้งยังมีหมีขอหน้าตาน่ารักปีนป่ายเก็บกินลูกไทรที่เพิ่งสุกในบางต้น

เชี่ยวหลาน

กั้งบอกว่า อย่ามัวเพลินมองบนต้นไม้ ลองมองลงมาแถวตลิ่งบ้าง เผื่อหมูป่าจะออกมารับแดดกับเขา ได้ยินชื่อหมูป่า ฉันกลับนึกเลยเถิดถึง สมเสร็จ ว่ากันตามตรงแล้ว เหตุหนึ่งที่ทำให้เดินทางมายังพื้นที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ก็เพราะได้ยินคำบอกกล่าวว่า "เคยเห็นสมเสร็จว่ายน้ำไหมครับ ที่เชี่ยวหลานนี่เขาเห็นกันหลายครั้งนะ" ... อย่าว่าแต่สมเสร็จว่ายน้ำเลย สมเสร็จออกมานวยนาดและเล็มกินยอดไม้พุ่ม ซึ่งเป็นภาพที่เห็นง่ายกว่า...ฉันก็ยังไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง

เช่นเคย ครั้งนี้พลาดสมเสร็จ แต่ยังดีที่ได้เจอกระทิงตัวเขื่องลงมากินน้ำริมตลิ่งยามเย็นย่ำ หลังจากล่องเรือนตระเวนลึกเข้าไปตามผืนน้ำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง ไกด์หนุ่มและคนขับเรือ 'ติสต์ก็ถกกันว่า ไอ้ที่เห็นดำ ๆ ไหว ๆ อยู่ไกล ๆ นั้นคือกระทิงหรือเปล่า แล้วเมื่อเบาเครื่องเรือเคลื่อนเข้าไป ก็ได้คำตอบว่ากระทิงจริง ๆ เป็นระยะห่างไม่น้อยกว่า 10 เมตร แต่ก็พอเห็นราง ๆ ว่าร่างดำมะเมื่อมนั้นยืนนิ่งอยู่ริมตลิ่ง หันหน้าเขม็งมองเราอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนวิ่งผลุบหายเข้าป่าไป ไม่ต้องสงสัยเลย เป็นเพราะเราอยู่เหนือลมซึ่งพัดพากลิ่นลอยไปเตะจมูกกระทิงโทนอย่างจังนั่นเอง

ความมืดเริ่มโรยตัวปกคลุม เรือลำน้อยจึงเคลื่อนกลับสู่แพพักซึ่งห่างไปอีกราว 5 -6 กิโลเมตร ความเงียบโอบล้อมรอบตัวพร้อม ๆ กับความมืดที่มากขึ้นตามลำดับ ลึกเข้าไปในป่าทึบแน่นที่รายรอบเราอยู่ขณะนี้ ฉันคิดว่าอาจมีสัตว์ใหญ่ที่มองมายังเราก็เป็นได้

เชี่ยวหลาน

4. แสงทองส่องทอกลุ่มเมฆขาวฟูฟ่องย้อมขอบให้เป็นสีอุ่นน่ามอง ดาวประกายพรึกยังส่องแสงวอมแวม ปุยหมอกขาวสะอาดลอยเหนือน้ำประดับหน้าขุนเขา เป็นภาพสวยที่เห็นทุกเช้าหน้าห้องนอนของเรา ประตูกระจกใสบานกว้างนั้นถูกเปิดรับลมตั้งแต่เมื่อคืน ครั้นถึงรุ่งเช้าภาพงามจึงปรากฏให้เห็นทันทีที่ลืมตา เวลาทำหน้าที่ของมันสม่ำเสมอ ไม่เคยยืดเยื้อเพิ่มพิเศษให้ใคร ราว 9 โมงเช้า เราลงเรือเดินทางกลับสู่ฝั่ง ทว่ายังมีแหล่งท่องเที่ยวระหว่างทางที่จะได้แวะเที่ยวชม

พ้นจากแพ 500 ไร่ ไม่ไกล มีแนวหน้าผาใหญ่อยู่ในเวิ้งอ่าวละแวกคลองหวาง น่าจับตาตรงด้านริมสุดของผาหินปูน ซึ่งมีร่องลายคล้ายใบหน้าสาวญี่ปุ่นเกล้าผมตึง เผยใบหน้ารูปไข่ แก้มกลม ครั้นเลยไปอีกสักพักพงษ์ชี้ให้ดูบนยอดเขาสูงลิบด้านขวา เขาบอกว่านี่คือ เขาพ่อตา

"ลองดูบนยอดเขาสิครับ มีหินรูปร่างเหมือนคนสวมหมวกจีนอยู่นั่นไง เขาลูกนี้มีตำนานเล่าต่อกันมาว่า เฒ่าคนหนึ่งมีอาคมแก่กล้า ต่อมาแกกลายเป็นเสือสมิง อยู่บนเขานี้แหละครับ"

เรือแล่นพ้นโค้ง ผ่านแพพักเรียบง่ายซึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้าขุนเขาสูงทะมึน เป็นแพนางไพร ดำเนินการและดูแลโดยอุทยานแห่งชาติเขาสก

เขาสามเกลอ ตั้งอยู่เยื้องกับแพนางไพร ผืนน้ำช่วงนี้กว้างใหญ่จนคนละฝั่งนั้นห่างกันไกลนัก เรือแล่นวกอ้อมภูเขาฝั่งตรงข้ามกับแพนางไพรเข้ามายังด้านใน ซึ่งดูเหมือนทะเลในไม่น้อยหน้าบริเวณแพ 500 ไร่

เขาหินปูนสามก้อนสวยงามเห็นเด่นชัด เป็นประติมากรรมธรรมชาติที่นักท่องเที่ยว ซึ่งมาถึงเขื่อนแล้วมักลงเรือมาเยือน เขาหินอีกก้อนใกล้เขาสามเกลอมีสมญาว่า เขาอินเดียนแดง ตามรูปลักษณ์ของมัน

เชี่ยวหลาน

ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีก 2 จุด ที่เรือแวะเวียนพาเราผ่านไปชม คือ กุ้ยหลินเมืองไทย และ กุ้ยหลินน้อย อีกความงามของเขาหินปูนที่ถูกกัดเซาะโดยน้ำและลมจนเกิดรูปร่างแปลกตา ไม่ได้ดูแต่หิน เพราะเจ้าถิ่นในเรือชี้ชวนให้ดูพรรณไม้บนเขาหินปูน เช่น ปาล์มเจ้าเมืองถลาง กกเขาสก รองเท้านารี ฯลฯ เพลินกันไป

ใกล้ถึงท่าเทียบเรือ เราสวนทางกับเรือนำเที่ยวหลายลำ บรรยากาศการเที่ยวแสนคึกคัก แตกต่างจากความสงบงามในบริเวณตอนในของทะเลสาบเป็นอย่างยิ่ง เรือนักท่องเที่ยวเหล่านั้นทำให้ฉันเห็นสิ่งที่น่าชมอีกอย่าง คือ ทุกคนสวมเสื้อชูชีพดูดี ไม่เป็นชูชีพเน่า ๆ เกรอะกรังด้วยราดำ นับเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่สะอาดถูกใจจริง

เชี่ยวหลาน

5. กลางธันวาคม 2555 ณ เมืองหลวงของประเทศไทย อากาศยังคงร้อนอบอ้าว บางวันฝนตก ไม่มีเค้าของฤดูกาลที่ชัดเจนอีกต่อไป

"เชี่ยวหลานน่าเที่ยวที่สุดช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคมครับ อากาศหนาวเลยล่ะ ไม่ใช่แค่เย็นสาย" คำบอกเล่าของชายหนุ่มผู้ผ่านวันเวลาในเขตบ้านตาขุนและเขื่อนเชี่ยวหลานมานานกว่า 20 ปี ยังติดอยู่ในความทรงจำ ทำให้นึกถึงเรือคายักที่เคลื่อนไหวเหนือผิวน้ำอย่างนุ่มนวล เข้าถึงต้นไทรสุกได้โดยไม่โฉ่งฉ่าง นึกถึงภาพนกกก นกแก๊ก ฝูงชะนี ค่าง ลิง ที่ห้อยโหนเก็บกินลูกไทรสุกอย่างสุขใจ บางคราวก็ร้องโหวกเหวก กวัดแกว่งมือไล่นกที่จ้องจะมากินลูกไทรในบริเวณเดียวกัน

นึกถึงวันเวลาดี ๆ ที่ได้อิ่มเอมกับขุนเขา ผืนป่า ผืนน้ำ สายหมอก และอากาศลดสะอาด นึกถึงแพสงบงามแห่งนั้น...ที่ซึ่งรอยยิ้มเกิดขึ้นได้แสนง่ายดาย


เชี่ยวหลาน

คู่มือนักเดินทาง

การเดินทาง


จากกรุงเพทฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 เข้าทางหลวงหมายเลข 4 แล้วต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 41 ไปจนถึงแยกกิโลเมตรที่ 18 (จุดสังเกตคือโรงพยาบาลท่าโรงช้างจะอยู่ฝั่งขวา) จากนั้นให้เลี้ยวขวาใต้สะพานยกระดับเพื่อเข้าทางหลวงหมายเลข 401 จนกระทั่งเข้าเขตอำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี สังเกตโรงเรียนบ้านตาชุนวิทยาซึ่งอยู่ทางฝั่งซ้าย ฝั่งตรงข้ามคือสำนักงานของบริษัทสุราษฎร์อินเตอร์ทัวร์ จำกัด ขับเลยไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงทางเข้าเขื่อนรัชชประกา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) ซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ

หากเดินทางด้วยรถประจำทาง จากกรุงเทพฯ นั่งรถสายกรุงเทพฯ-บ้านเขาต่อ-พังงา หรือกรุงเทพฯ-ภูเก็ต แจ้งพนักงานขายตั๋วว่าลงที่บ้านตาขุน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่บริษัทขนส่ง จำกัด โทรศัพท์ 1490 เว็บไซต์ www.transport.co.th

หากไม่ได้ซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวกับแพพัก จากท่าเทียบเรือเขื่อนเชี่ยวหลานไปยังแพต่าง ๆ ราคาเหมาลำประมาณ 2,000 – 2,500 บาท ต่อเที่ยว (นั่งได้ 10 คน)

ที่พักและอาหาร

แพ 500 ไร่ เป็นแพพักเอกชนที่สะดวกสบายที่สุดในเขื่อนเชี่ยวหลานและเป็นแพเอกชนที่ได้รับใบอนุญาตประกอบการจากอุทยานแห่งชาติเขาสก ซึ่งดูแลพื้นที่ส่วนหนึ่งของเขื่อนเชี่ยวหลาน บรรยากาศสงบ เป็นส่วนตัว เพราะอยู่ในพื้นที่ด้านในสุดของแพที่พัก ไม่มีเรือนักท่องเที่ยวแล่นผ่านไปมา แพห้องพักมีทั้งหมด 11 หลัง ทุกหลังมีห้องใต้หลังคา แต่ละหลังพักได้ 5 คน มีห้องอาบน้ำและห้องสุขาแยกส่วนกันทุกห้อง เฉพาะห้องแบบ Deluxe Villa จะมีเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ แต่ปกติอากาศยามเช้าและค่ำนั้นเย็นสบายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ สำหรับอาหาร บนแพ 500 ไร่ มีส่วนของร้านอาหารให้บริการตามแพ็กเกจ และมีเมนูสั่งแยกต่างหาก รสชาติอร่อย เต็มรสทุกจาน

นอกจากแพ 500 ไร่แล้ว ยังมีแพพักของเอกชนอีกหลายราย สำหรับแพพักราคาย่อมเยา คือ แพของอุทยานแห่งชาติเขาสก สามารถสำรองที่พักได้ที่เว็บไซต์ www.dnp.go.th


เชี่ยวหลาน

แพ็กแกจทัวร์ 500 ไร่

มีตั้งแต่ช่วงเวลา 2 วัน 1 คืน ไปจนถึง 4 วัน 3 คืน แพ็กเกจที่ขอแนะนำ คือ โปรแกรม 3 วัน 2 คืน (เที่ยวสันเขื่อน ไปเขาสามเกลอ กุ้ยหลินน้อย เดินป่าสู่จุดชมวิว ชมวิถีสัตว์ป่าคลองแสง และนั่งเรือดูนกชมหมอก) ราคาสำหรับ 2 - 3 คน คนละ 6,4000 บาท ราคาสำหรับ 4 คน รวม 17,500 บาท สำหรับวันศุกร์-เสาร์ (รวมค่าเรือโดยสารไป-กลับ ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติเขาสก ค่ากิจกรรม ค่าอาหาร 6 มื้อ ค่าห้องพักแบบ Duluxe ค่ามัคคุเทศก์ และค่าประกันอุบัติเหตุ)

แหล่งท่องเที่ยวใกล้ ๆ

จุดชมวิวไกรสร มีเส้นทางเดินชัดเจน ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ขึ้นเขาสูงชัน โดยเฉพาะช่วง 200 เมตร สุดท้ายเต็มไปด้วยหินปูนแหลมคม เส้นทางนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง

น้ำตกแปดเซียน เป็นน้ำตกขนาดย่อม มีน้ำมากในช่วงฤดูฝน หรือหลังช่วงเวลาที่ฝนตกต่อเนื่องมา 2 - 3 วัน เป็นน้ำตกสวยงามหนึ่งเดียวในบริเวณทะเลสาบเหนือเขื่อนเชี่ยวหลาน

ทะเลใน 500 ไร่ เป็นที่ตั้งเดิมของแพ 500 ไร่ ต้องล่องเรือแล้วต่อด้วยการเดินเท้าข้ามเขาลูกเล็ก ๆ ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ในบริเวณทะเลในร่มรื่นด้วยพรรณไม้และผืนน้ำ และยังเป็นที่ตั้งของถ้ำปะการัง ซึ่งด้านในมีหินงอกหินย้อยงดงาม

ถ้ำน้ำทะลุ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงผจญภัย ต้องเดินไปประมาณ 3 กิโลเมตร แล้วเดินเข้าถ้ำ ลุยน้ำลึกตั้งแต่ระดับเข่าไปจนถึงสูงท่วมหัวระยะทาง 700 เมตร ในถ้ำมีหินงอกหินย้อยและน้ำตกขนาดเล็กที่มีน้ำตลอดทั้งปี

ป่าคลองแสง ตั้งอยู่ด้านใน ลึกจากที่ตั้งแพ 500 ไร่ไป วิธีเที่ยวคือการนั่งเรือหางยาวชมสองฟากป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์ ในช่วงเย็นมีโอกาสพบเห็นกระทิง กวาง วัวแดง ช้าง ฯลฯ

เชี่ยวหลาน

รู้ก่อนไป

อย่าลืมเตรียมกล้องส่องทางไกลสำหรับดูนกและสัตว์ป่า เพื่อให้ภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

รองเท้าเดินป่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่ต้องการขึ้นจุดชมวิวไกรสร รองเท้าหุ้มข้อที่คุ้นเท้าจะทำให้เดินไต่ความสูงได้ง่ายขึ้น

เตรียมเสื้อผ้าที่แห้งง่ายไปกระโดดน้ำเล่นเย็นกายเย็นใจ

แพ 500 ไร่ ใช้เครื่องปั่นไฟ มีไฟฟ้าใช้เฉพาะเวลา 5 โมงเย็นถึง 9 โมงเช้า ถ้าเป็นคนขี้ร้อน และไม่ได้ลงเรือเที่ยวในช่วงกลางวัน ควรเตรียมพัด พัดลมใส่ถ่าน หรืออุปกรณ์คลายร้อนไปด้วย

ในบริเวณแพ 500 ไร่ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือของค่ายใด หากต้องการติดต่อธุระสำคัญ ควรจัดการให้เรียบร้อยตั้งแต่ที่ท่าเทียบเรือ

สำหรับผู้หลงรักรสชาติและบรรยากาศของการดื่มชา กาแฟ ไวน์ แนะนำว่าควรเตรียมไปให้พรั่งพร้อม เพราะบรรยากาศยามเช้าตรู่และเย็นย่ำค่ำมืดนั้นแสนรื่นรมย์ เหมาะกับการจิบเครื่องดื่มดี ๆ เป็นอย่างยิ่ง

ติดต่อสอบถามและสำรองแพ็กเกจหรือห้องพัก บริษัทสุราษฎร์อินเตอร์ทัวร์ จำกัด โทรศัพท์ 08 1747 7474, 08 5747 7474 หรือเว็บไซต์ www.500rai.com


เชี่ยวหลาน

แจ่ม! 12 ภาพถ่ายวิวทิวทัศน์แนวตั้ง...อันงดงาม

นั่นแน่! อยากชมแล้วใช่ไหมว่า Best 12 Vertical Orientation แต่ละภาพจะสวยขนาดไหน ถ้าอย่างนั้นก็ตามเราไปชมกันเลยจ้า ^__^
ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว

ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว

พรรรไม้ควรปลูกประจำบ้าน



          ใคร ๆ ก็อยากให้บ้านของตัวเองมีความร่มรื่น อยู่เย็นเป็นสุข หลายคนจึงมีความคิดจะปลูกต้นไม้มงคลไว้ภายในบ้าน เพื่อเอาเคล็ด เอาโชค เอาชัย ตามความเชื่อของคนโบร่ำโบราณที่บอกต่อกันมาช้านาน และถ้าใครยังไม่รู้ว่า คนโบราณเขาแนะนำให้ปลูกต้นไม้อะไร เพื่อเสริมสิริมงคลในด้านต่าง ๆ วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็รวบรวมต้นไม้มงคล 15 ชนิด ที่คนนิยมปลูกกันในบ้านมาบอกให้ทราบกัน เผื่อจะได้เป็นไอเดียดี ๆ สำหรับตกแต่งสวนในบ้านยังไงล่ะคะ

มะยม

ต้นมะยม

ฟังแค่ชื่อ "มะยม" ก็พอเดาได้ใช่ไหมล่ะว่า ทำไมคนถึงนิยมปลูกต้นมะยมไว้ที่บ้านกัน ก็เพราะเขาเชื่อกันว่า การปลูกต้นมะยมจะทำให้คนนิยมชมชอบ รักใคร่ มีชื่อเสียง ไม่มีคนคิดร้าย หรือเป็นศัตรูนั่นเอง ส่วนอีกความเชื่อหนึ่งก็บอกว่า หากปลูกต้นมะยมไว้ทางทิศตะวันตก จะช่วยป้องกันภูตผีปีศาจได้


ต้นมะม่วง

นอกจากจะให้ร่มเงา และผลแสนอร่อยแล้ว มะม่วงยังเป็นต้นไม้มงคลที่มีความเชื่อมาตั้งแต่พุทธกาลว่า หากปลูกต้นมะม่วงไว้ทางทิศใต้ของบ้านแล้ว จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านร่ำรวยยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นมารังแก รังควาน หรือใส่ความได้ด้วย


ต้นขนุน

อีกหนึ่งต้นไม้ชื่อมงคลที่คนนิยมปลูกเช่นกัน เพราะตามความเชื่อของคนโบราณ บอกกันว่า การปลูกต้นขนุนจะทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับการสนับสนุน มีคนคอยอุปการะอุดหนุนจุนเจือ คอยให้ความช่วยเหลือ มีคนสรรเสริญ สามารถป้องกันอันตรายและคนใส่ร้ายป้ายสีได้ ซึ่งหากบ้านไหนคิดจะปลูกต้นขนุนแล้วล่ะก็ ควรเลือกปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะดีที่สุด โดยให้หัวหน้าครอบครัวเป็นคนลงมือปลูกในวันจันทร์ หรือวันพฤหัสบดี


ต้นมะขาม

หากบ้านไหนต้องการให้ผู้อื่นเกรงขาม ตามความเชื่อเขาแนะนำให้ปลูกต้นมะขามไว้ทางทิศตะวันตก เพราะเชื่อกันว่า ต้นมะขามจะทำให้ผู้อยู่อาศัยเป็นที่น่าเกรงขามต่อผู้อื่น และทำให้คนชื่นชอบ นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันคดีความ ภูตผีปีศาจ และผีซ้ำด้ำพลอย


ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน

ต้นไม้ประจำชาติไทยที่ออกดอกสีเหลืองทองสวยอร่ามนี้ คนไทยสมัยโบราณเชื่อกันว่า หากนำมาปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน จะช่วยให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นทวีคูณ นอกจากนี้ จะช่วยให้คนในบ้านมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ด้วย เพราะต้นราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ประจำชาติไทย ส่วนใบของราชพฤกษ์ก็มักถูกนำไปใช้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ คนจึงเชื่อว่า ราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว


ต้นกล้วย

ต้นไม้ที่ปลูกง่ายอย่างต้นกล้วยนี้ ก็เป็นต้นไม้ที่คนไทยสมัยก่อนนิยมปลูกไว้ในบ้านกันมาก เพราะนอกจากจะสามารถนำส่วนต่าง ๆ ของต้นกล้วย ทั้งหัวปลี ลำต้น ผล ใบ ฯลฯ มาทำประโยชน์ได้มากมายแล้ว เขายังมีความเชื่อด้วยว่า การปลูกต้นกล้วยไว้ทางทิศตะวันออกของบ้านจะช่วยให้การทำงานราบรื่น คิดสิ่งใดทำสิ่งใดก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากนั่นไง


ต้นไผ่

ตามตำราฮวงจุ้ยของจีนบอกไว้ว่า ต้นไผ่เป็นสัญลักษณ์ของความสง่าเหนือธรรมชาติ หากปลูกไว้ในบ้านจะเสริมมงคลให้ผู้อยู่อาศัย ทำให้เป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจจริง มีสติปัญญา เอื้ออารี และกตัญญูรู้คุณ ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนไทยที่เชื่อกันว่า หากปลูกต้นไผ่ไว้ในบริเวณบ้าน จะทำให้สมาชิกในบ้านตั้งใจทำงาน ประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ไม่คดโกงเอารัดเอาเปรียบใคร นั่นก็เป็นเพราะลักษณะของต้นไผ่ที่มีลำต้นเหยียดตรง แข็งแรง สามารถต้านทานแรงลมพายุได้นั่นเอง

หากจะปลูกต้นไผ่ ควรปลูกไว้ริมรั้วของบ้าน หรือบริเวณที่โล่งกว้าง ให้ต้นไผ่ได้แตกหน่อเจริญงอกงาม และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออก เพื่อให้ต้นไผ่ได้รับแสงแดดยามเช้า นอกจากนี้ ยังควรปลูกต้นไผ่ในวันเสาร์จึงจะเป็นมงคล อ้อ...ลืมบอกไปว่า ต้นไผ่มีหลากหลายชนิด ทั้งไผ่เหลืองทอง ไผ่สีสุก ไผ่เตี้ย ไผ่น้ำเต้า แต่คนโบราณเชื่อกันว่า ถ้าปลูกไผ่สีสุกจะช่วยให้สมาชิกในบ้านประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง และมีความสุขกันถ้วนหน้า เพราะชื่อไผ่สีสุกไปคล้องกับคำอวยพรที่ว่า "มั่งมีศรีสุข" นั่นเอง

ต้นวาสนา

ต้นวาสนา หรือ วาสนาอธิษฐาน

เห็นหลาย ๆ บ้านนิยมปลูกต้นวาสนากัน เพราะชื่อเป็นมงคล จึงทำให้คนเชื่อกันว่า หากบ้านใดปลูกต้นวาสนาจะทำให้มีความสุข ความสมหวังในชีวิต และเป็นต้นไม้แห่งโชคลาภด้วย และการเสี่ยงทายด้วย โดยหลายคนเชื่อกันว่า หากต้นวาสนาบ้านไหนออกดอกสวยงาม จะทำให้มีโชคลาภ ปรารถนาสิ่งใดก็จะสมดังใจมุ่งหมาย

แล้วถ้าคิดจะปลูกต้นวาสนาล่ะก็ ตามตำราเขาแนะนำให้ปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และเนื่องจากต้นวาสนาเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์ทางใบ จึงควรปลูกในวันอังคาร โดยให้ผู้หญิงเป็นผู้ปลูกจะดีที่สุด เพราะชื่อวาสนาอธิษฐานเป็นชื่อที่เหมาะกับสุภาพสตรี


ต้นแก้ว

ไม้ยืนต้นขนาดไม่ใหญ่ที่มีดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจนี้ คนไทยนิยมปลูกไว้ริมรั้วบ้าน หรือปลูกลงในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารก็ได้ โดยคำว่า "แก้ว" หมายถึงสิ่งของมีค่าที่คนนับถือบูชา เปรียบได้กับของมีค่าสูงดั่งดวงแก้ว ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า หากปลูกต้นแก้วไว้ประจำบ้าน จะทำให้สมาชิกในบ้านเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์เหมือนแก้ว มีความเบิกบานใจ และมีคนรักดั่งแก้วตาดวงใจนั่นเอง

เพื่อความเป็นสิริมงคล โบราณแนะนำให้ปลูกต้นแก้วไว้ทางทิศตะวันออก และให้ปลูกในวันพุธ ตามความเชื่อที่ว่า การปลูกไม้ที่เอาประโยชน์ทางดอกควรปลูกในวันพุธแล้วจะเป็นมงคล


ต้นเข็ม

ทุกคนคงรู้กันอยู่แล้วว่า ดอกเข็ม ที่ใช้ในการประกอบพิธีไหว้ครู เป็นสัญลักษณ์แทนความฉลาดหลักแหลมเปรียบกับเข็มที่แหลมคม เช่นเดียวกับการปลูกต้นเข็มไว้ในบ้านที่คนโบราณเขาก็เชื่อว่า จะทำให้สมาชิกในบ้านมีความฉลาดหลักแหลมเหมือนกับดอกเข็ม และยังช่วยให้มีปฏิภาณไหวพริบเอาตัวรอดได้ด้วย หรือหากบ้านใดมีเด็กที่กำลังอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน ดอกเข็มก็กระตุ้นให้เด็ก ๆ สนใจใฝ่หาความรู้มาเติมเต็มให้ตัวเองอยู่เสมอ

หากต้องการจะปลูกต้นเข็ม โบราณแนะนำให้หาคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเล่าเรียนเป็นผู้ลงมือปลูก โดยเลือกปลูกทางทิศตะวันออก และปลูกในวันพุธ จะช่วยเสริมสิริมงคลให้แก่คนในบ้าน


ต้นกระดังงา

หากต้องการให้วงศ์ตระกูลมีชื่อเสียงโด่งดัง ต้นกระดังงา ก็คือต้นไม้มงคลตามความเชื่อของคนโบราณที่ปรารถนาให้ลูกหลานมีชื่อเสียงก้องกังวานไปไกล มีลาภยศสรรเสริญ มีเงินทอง ผู้คนทั่วไปนับหน้าถือตา เพราะชื่อ "กระดังงา" เป็นชื่อที่มีความหมายที่ดี และคนก็เชื่อกันว่า เสียงที่ดังนั้นไพเราะเพราะพริ้งดังก้องไปถึงสรวงสวรรค์เลยล่ะ

นอกจากเรื่องชื่อเสียงโด่งดังแล้ว คนไทยยังเชื่อกันว่า กระดังงาเป็นต้นไม้ที่ช่วยเสริมเสน่ห์ให้สมาชิกในบ้านให้เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป และมีชีวิตที่หอมหวลเหมือนกับกลิ่นหอมของดอกกระดังงา บ้านไหนที่คิดจะปลูกกระดังงาควรปลูกในวันพุธ ไว้ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน เพื่อให้แสงอาทิตย์สาดส่อง จะช่วยให้ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว เพิ่มความเป็นสิริมงคลแก่ตัวบ้าน และครอบครัวที่อาศัยอยู่ในบ้าน


ต้นโป๊ยเซียน

ต้นไม้แห่งโชคลาภที่คนไทยนิยมปลูกกันมากอีกชนิด เพราะเชื่อว่าจะทำลาภผลมาให้ และจะทำให้ครอบครัวสงบสุข ขณะเดียวกัน บางคนยังเชื่อว่า โป๊ยเซียน เป็นต้นไม้เสี่ยงทาย หากบ้านไหนปลูกต้นโป๊ยเซียนออกดอกได้ 8 ดอก ก็จะมีโชคลาภ เงินทอง ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง เพราะโป๊ยเซียนเป็นตัวแทนของเทพเจ้า 8 องค์ ที่จะนำความเจริญรุ่งเรือง และช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ที่เป็นเจ้าของ

ทั้งนี้ ตามเคล็ดปฏิบัติการปลูกต้นโป๊ยเซียน ควรจะให้ผู้ที่มีอายุ หรือญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือมาลงมือปลูกให้ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นทิศมงคลของต้นโป๊ยเซียน จะยิ่งเสริมความเป็นสิริมงคลให้ผู้อยู่อาศัย และควรปลูกในวันพุธ เพื่อให้ดอกที่ออกงดงามตามความเชื่อคนโบราณนั่นเอง ที่สำคัญควรเลือกดอกสีเหลือง หรือสีส้ม จะเป็นมงคลที่สุด


ต้นโกสน

ไม้พุ่มหลากสีชนิดนี้ นิยมเป็นปลูกกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะภายในพระราชวัง และวัด เพื่อหวังให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข หากนำมาปลูกในบ้าน ก็จะทำให้ครอบครัวมีแต่ความสงบสุข ปราศจากความขัดแย้งใด ๆ นั่นเพราะคนสมัยก่อนเชื่อกันว่า คำว่า "โกสน" มีเสียงใกล้เคียงกับคำว่า "กุศล" ซึ่งหมายถึงการสร้างบุญ สร้างสิ่งที่ดีงามเป็นบุญเป็นกุศลนั่นเอง

ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล คนโบราณก็ยังแนะนำให้ปลูกต้นโกสนในวันอังคาร และปลูกไว้ทางทิศตะวันออกของบ้านเพื่อรับแสงแดดยามเช้า จะทำให้เห็นสีสันของใบที่สวยสด ดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็น


ต้นโมก

มีความเชื่อบอกต่อ ๆ กันมาว่า การปลูกต้นโมก หรือ โมกข ที่หมายถึงผู้ที่หลุดพ้นด้วยทุกข์ทั้งปวง จะนำเอาความสุขกายสบายใจ ความปลอดภัยมาให้สมาชิกในบ้าน เพราะดอกโมกมีสีขาวบริสุทธิ์สะอาด ส่งกลิ่นหอมทั้งวัน บางคนอาจจะเรียกต้นโมกว่า พุดพิชญา หรือ พุทธรักษา เพราะเชื่อว่าจะต้นโมกสามารถปกป้องคุ้มครองสิ่งชั่วร้ายให้สมาชิกในบ้านได้

เคล็ดลับสำหรับการปลูกต้นโมกก็คือ ให้ปลูกในวันเสาร์ เพราะเป็นต้นไม้ที่ปลูกเพื่อเอาคุณตามความเชื่อของคนโบราณ จะช่วยให้ต้นโมกเจริญงอกงามได้ดี และปกป้องคุ้มครองคนในบ้านได้ ซึ่งทิศที่เหมาะสมที่สุดในการปลูกต้นโมกก็คือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ


ต้นบานไม่รู้โรย

เขาว่ากันว่าบ้านไหนมีคู่รักต้องปลูกต้นบานไม่รู้โรยไว้ในบ้านด้วย เพราะชื่อบานไม่รู้โรยเป็นชื่อมงคล หมายความถึง ความยั่งยืน ความอดทน และไม่ย่อท้อ หากเปรียบกับความรักก็เหมือนความรักที่ยั่งยืน ช่วยให้คู่รักมีความผูกพันมั่นคงต่อกันไปนาน ๆ ปราศจากความโรยรา หรือผันแปรตลอดไปนั่นเอง ฟังแล้วน่าปลูกไว้จริง ๆ

โฆษณา