แนะนำแหล่งท่องเที่ยวของทางภาคเหนือ

เราจะพาท่านขึ้นไปเที่ยวภาคเหนือของประเทศไทยเรา ว่ามีแหล่งท่องเที่ยวอะไรที่น่าสนใจบ้างเชิญไปเที่ยวไทยกับเราเลยยย

กว่า 2,500 โรงแรม รีสอร์ททั่วประเทศให้คุณเลือกในราคาลดพิเศษสูงสุด 75%

ให้บริการโดย www.paiteawthai.blogspot.com ร่วมกับ www.ido24.com •โทรแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อยืนยันการชำระเงินที่ 02 664 0939

สนใจลงโฆษณาตรงนี้ ขนาด 930*300 pixels

ติดต่อลงโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์ข่าวสาร ธุรกิจท่านตรงนี้ราคาเพียง 599 บาท/ เดือนเท่านั้น โทร.084-4101901

สนใจลงโฆษณาตรงนี้ ขนาด 930*300 pixels

ติดต่อลงโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์ข่าวสาร ธุรกิจท่านตรงนี้ราคาเพียง 599 บาท/ เดือนเท่านั้น โทร.084-4101901

แนะนำโรงแรม รีสอร์ท บังกะโล โฮมสเตย์ ที่พักต่างๆ

แนะนำที่พักต่างๆอาทิเช่นโรงแรม รีสอร์ท โฮมสเตย์ สอบถามราคา และสั่งจองล่วงหน้าได้ที่นี่

ก้อยไข่มดแดง อาหารจากธรรมชาติ

ไข่มดแดงจัดอยู่ในประเภทอาหารตามฤดูกาล ไม่มีให้กินตลอดปี ชาวบ้านจะเริ่มออกหาแหย่รังมดแดงตามต้นไม้หัวไร่ปลายนา เริ่มประมาณช่วงเดือนธันวาคมหลังจากเสร็จงานไร่งานนา ช่วงนี้มักจะได้ไข่ลูกเล็กๆ ที่เรียกว่าไข่ผาก เข้าเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงเมษายน จึงจะได้ไข่ขนาดใหญ่ขึ้น รวมทั้งนางพญามดมดมีปีก ที่ชาวบ้านเรียก แม่เป้งจะพบอยู่ในรังด้วย ชาวบ้านจะนำมากินหมดทั้งไข่ผาก ไข่ใหญ่ แม่เป้ง ไม่เว้นแม่แต่ตัวมดแดง เพราะมดแดงมีรสเปรี้ยว จึงนิยมนำมาปรุงอาหาร เช่น ใส่ก้อยปลา ใส่เมี่ยงอีสาน ฯลฯ

ที่ว่ามาเป็นเรื่องในอดีต ปัจจุบันถ้าอยากกินไข่มดแดง ไม่ต้องลงทุนออกไปหาแหย่ตามต้นไม้เอง ตามตลาดสดในภาคอีสานแทบทุกแห่งจะมีขาย โดยจะห่อใส่ใบตองขายห่อละ 10-20 บาท

ไข่มดแดงสามารถนำไปประกอบอาหารได้สารพัดอย่าง เช่น ใส่ต้มยำ ใส่ไข่ทอด ฯลฯ วันนี้เชิด ขันตี ณ พล ข่าวสดมหาสารคาม ขอแนะนำเมนูเด็ดทำกินง่ายๆ นั่นคือ "ก้อยไข่มดแดง" ขั้นแรกต้องเตรียมเครื่องปรุงประกอบด้วยไข่มดแดง 1 ถ้วย พริกแห้ง 10 เม็ด ต้นหอม 3 ต้น ข้าวสาร 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา

วิธีการปรุงนำไข่มดแดงขนาดใหญ่ๆ มาล้างน้ำให้สะอาดพักไว้ นำพริกแห้ง ข้าวสารไปคั่วไฟอ่อนๆ แล้วโขลกให้ละเอียด นำต้นหอมมาหั่นเป็นท่อนสั้นๆ ขั้นตอนต่อไปนำไข่มดแดงเทลงในถ้วยใบใหญ่พอเหมาะ จากนั้นนำเครื่องปรุง ข้าวคั่ว พริกป่น ต้นหอมหั่น น้ำปลาตามลงไป ปรุงรสตามชอบใจหากชอบรสเผ็ดก็เพิ่มพริกป่นลงไปอีก ชอบรสจืดก็เหยาะน้ำปลา แล้วค่อยๆ ใช้ทัพพีคนคลุกเคล้าให้ไข่มดแดงผสมเข้ากันกับเครื่องปรุง ตักใส่จานรับประทานกับผักสด จะกินเล่นก็ได้กินกับข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าก็ได้

พระธาตุนาดูน พุทธมณฑลแห่งอีสาน

           พุทธมณฑลแห่งอีสาน ตั้งอยู่ที่บ้านนาดูน เขตอำเภอนาดูน เป็นเขตที่มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต เพราะบริเวณนี้ได้เคยเป็นที่ตั้งของนครจำปาศรีมาก่อน โบราณวัตถุต่างๆ ที่ค้นพบได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดขอนแก่นและที่สำคัญยิ่งก็คือการขุดพบสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในตลับทองคำ เงิน และสำริด ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 13-15 สมัยทวาราวดี รัฐบาลจึงอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างพระธาตุนาดูนขึ้นในเนื้อที่ 902 ไร่ โดยบริเวณรอบๆ จะมีพิพิธภัณฑ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม สวนรุกขชาติ สวนสมุนไพร ซึ่งตกแต่งให้เป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา การเดินทางจากตัวเมืองมหาสารคาม โดยใช้เส้นทางหมายเลข 2040 ผ่านอำเภอแกดำ อำเภอวาปีปทุม แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2045 ถึงอำเภอนาดูน ทางลาดยางตลอด ห่างจากตัวเมืองประมาณ 65 กิโลเมตร

ความเป็นมาของพระธาตุนาดูน
อำเภอนาดูน เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณแห่งหนึ่งที่มีประวัติอันยาวนาน โดยบริเวณที่ตั้งของอำเภอนาดูนคือ เมืองจัมปาศรีที่เจริญรุ่งเรือนในสมัยทวารวดี เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-15 ซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่ค้นพบมากมาย สรุปความดังนี้
ถิ่นฐานอารยธรรมจัมปาศรีในอดีตกาล สันนิษฐานได้ว่ามีความเจริญรุ่งเรืองมา 2 ยุค คือ
1. ยุคทวารวดี ระหว่าง พ.ศ. 1000-1200
2. ยุคลพบุรี ระหว่าง พ.ศ. 1600-1800
ในราวพุทธศตวรรษที่ 13-16 ภายในตัวเมืองและนอกเมืองมีเจดีย์สมัยทวารวดีอยู่ 25 องค์ (ขณะนี้ได้ขุดค้นพบแล้ว 10 องค์) เจ้าผู้ครองเมืองนครจำปาศรี นับตั้งแต่ พระเจ้ายศวรราช ได้สร้างสถานที่สักการะบูชาในพิธีทางศาสนาพราหมณ์และพุทธ เช่น เทวาลัย ปรางค์กู่ เป็นต้น ซึ่งถือว่าได้เจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านศาสนา วัฒนธรรม และการปกครอง จนถึงขีดสุดแล้วได้เสื่อมถอยลงจนถึงยุคอวสานในสมัยพระเจ้าฟ้างุ่มแหล่งหล้าธรณี
ค้นพบและการก่อสร้างพระธาตุนาดูน
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2522 ได้ขุดค้นพบสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สถูปทำด้วยทองสำริด แยกเป็น 2 ส่วน คือ
1. ตัวสถูปหรือองค์ระฆัง แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ตัวสถูป เป็นส่วนที่บรรจุ พระอังคาร (ขี้เถ้า) เทียนดอกไม้ ตอนคอสถูปเป็นส่วนที่บรรจุผอบพระบรมสารีริกธาตุโดยผอบจะบรรจุพร้อมกัน 3 ชั้น คือ ผอบทองคำ จะซ้อนอยู่ในผอบเงิน ผอบเงินจะซ้อนอยู่ในผอบทองสำริด ทุกผอบมีฝาปิดมิดชิด ภายในผอบทองคำมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุ 1 องค์ มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาวขุ่นขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหักครึ่ง หล่อเลี้ยงไว้ด้วยน้ำมันจันทน์เมื่อเปิดออกมาจะมีกลิ่นหอมมาก
2. ส่วนยอดทำด้วยทองสำริดกลมตัน ทำเป็นปล้องไฉนลูกแก้วและปลียอด ตอนต้นทำเป็นเกลียวสามารถปิดประกอบกับส่วนตัวองค์สถูปได้พอดี
พระธาตุนาดูน จำลองแบบสถูปทองสำริดที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเป็นศิลปะทวารวดี ก่อสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2530 โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ขึ้นประดิษฐานไว้ในองค์พระธาตุนาดูน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2530

ความเป็นมาของการขุดค้นพระพิมพ์ดินเผาและพระบรมสารีริกธาตุ

3.1ที่ตั้งเมืองโบราณ : นครจัมปาศรี
จากการศึกษาสภาพภูมิประเทศที่ตั้งนครจัมปาศรี มีลักษณะเป็นรูปไข่ยาวจากเหนือไปใต้ พื้นที่เป็นที่สูงๆ ต่ำ มีหนองน้ำขาดตอนเป็นห้วงๆ อยู่มากมายหลายแห่ง ชาวบ้านเรียกว่า กุด เช่น กุดทอง กุดฮี กุดโด กุลลอบ กุดหล่ม กุดหล่มม่อง กุดอ้อ หนองกุดบอน กุดสระแก้ว กุดฟ้าฮ่วน เป็นต้น หนองน้ำเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ หากแต่เกิดจากการขุดแต่งของชาวนครจัมปาศรีโบราณ เพื่อกักเก็บน้ำไว้เพื่ออุปโภคบริโภคและเป็นคูเมืองป้องกันข้าศึกศัตรู นอกจากนั้นยังมีเศษกระเบื้อง ดินเผา หม้อ ไห แตกกระจายกลาดเกลื่อน อยู่ทั่วไปนั้นแสดงให้เห็นว่าพื้นที่เมืองโบราณแห่งนี้เป็นย่านที่อยู่อาศัยของชุมชนขนาดใหญ่ โบราณสถานที่คงสภาพให้เห็นเป็นหลักฐานในปัจจุบัน ได้แก่ กู่สันตรัตน์ กู่น้อย และศาลา นางขาว เมืองนครจัมปาศรีเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองในสมัยทวารวดี ตัวเมืองเป็นรูปไข่ กำแพงเมืองประกอบด้วยเชิงเทียน 2 ชั้น มีคูอยู่กลาง คูกว้างประมาณ 20 เมตร เชิงเทินดินสูงประมาณ 3 เมตร และกว้างประมาณ 6 เมตร มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 13-16ภายในตัวเมืองและนอกเมืองมีเจดีย์สมัยทวารวดีอยู่ประมาณ 25 องค์
3.2ลำดับเหตุการณ์ก่อนพบพระบรมสารีริกธาตุ
พื้นที่ของนครจัมปาศรี มีโบราณสถานโบราณวัตถุอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งได้มีการขุดพบแล้วหลายแห่ง เช่น
พ.ศ.2511ทหารเรือจากกรุงเทพฯ จำนวนหนึ่งได้ไปขุดค้นหาวัตถุโบราณที่ซากโบราณสถานริมฝั่งห้วยนาดูน ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของบ้านหนองโง้ง ตำบลนาดูน อำเภอนาดูน ประมาณ 0.5 กม.หรืออยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอนาดูนไปทางทิศเหนือประมาณ 2 กม.ขุดได้พระพิมพ์ดินเผาและวัตถุโบราณอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังได้วัตถุโบราณชิ้นหนึ่งซึ่งมีรูปลักษณะคล้ายน๊อตสีเขียวเหมือนหยก ทำเป็นมุม 8 เหลี่ยมและ 16 เหลี่ยม ส่วนยอดทำเป็นลักษณะกลมๆ คล้ายขันครอบ ขุดใต้แผ่นอิฐลงไปพบพระพิมพ์ดินเผามีลักษณะเป็นแผ่นขนาดกว้าง 12 นิ้ว ยาวประมาณ 2ฟุต มีพระพุทธรูปบรรจุเรียงรายอยู่จำนวน 108 องค์ เรียกว่า พระมงคล 108จากการขุดครั้งนั้นได้พระพิมพ์ดินเผาประมาณ 3 กล่องกระดาษขนาดใหญ่ (จากคำบอกเล่าของนายเหลือ ปัตตาลาคะ อายุ 80 ปี ราษฎรบ้านหนองโง้ง อำเภอนาดูน)
พ.ศ.2513 ชาวนานาดูนจำนวนหนึ่ง ได้ขุดพบซากโบราณสถานอยู่ทางด้าน ทิศเหนือโรงเรียนชุมชนบ้านกู่โนนเมือง หรืออยู่ห่างจากกู่สันตรัตน์ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 1 กม.เศษ ได้ขุดพบพระพิมพ์ปางนาคปรกเดี่ยว สีขาวจำนวนมาก และเป็นพระเครื่องนครจัมปาศรีรุ่นแรกที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์เป็นที่เลื่องลือในด้านพุทธคุณเป็นอย่างมาก จนนักเล่นพระได้เข้าไปเสาะหาอยู่มิได้ขาด (จากคำบอกเล่าของนายสมาน บัวบุญ อดีตครูใหญ่โรงเรียนชุมชนบ้านกู่โนนเมือง)
พ.ศ.2514เจ้าหน้าที่หน่วยศิลปากรที่ 7 จังหวัดขอนแก่น ได้ทำการขุดแต่งโบราณสถานในพื้นที่อำเภอนาดูนจำนวน 3 แห่ง ดังนี้
1. ขุดแต่งกู่สันตรัตน์ ได้ขุดพบโบราณวัตถุสมัยลพบุรีหลายชิ้น มีอยู่ชิ้นหนึ่งสวยงามและสมบูรณ์ที่สุด ได้แก่ พระวัชรธร ทำด้วยหินทรายสีเขียว ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติขอนแก่น
2. ขุดแต่งกู่น้อย ได้ขุดพบโบราณวัตถุสมัยลพบุรีหลายชิ้น ชิ้นที่สวยที่สุดเป็นเทวรูป พระอิศวร พระนารายณ์ และเศียรเทวรูป ทำด้วยหินทราย ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น
3. ขุดด้วยศาลานางขาว ได้ขุดพบศิลาจารึก 1 หลัก สูง 21 เซนติเมตร กว้าง 9 เซนติเมตร หนา 4.50 เซนติเมตร มีอักษรจารึกอยู่จำนวน 14 บรรทัด
3.3การค้นพบอันยิ่งใหญ่ในปี พ.ศ.2522
เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2522ชาวอำเภอนาดูนจำนวนหนึ่ง ได้ขุดค้นหาโบราณวัตถุตามแหล่งโบราณสถานต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณรอบกู่สันตรัตน์ กู่น้อย ศาลานางขาว และบริเวณใกล้เคียงในเขตเมืองโบราณ วัตถุโบราณที่ขุดพบส่วนมากเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของชาวนครจัมปาศรีโบราณ ได้แก่ หม้อ ไห เครื่องบดยา เป็นต้นไป
ครั้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2522ชาวอำเภอนาดูนจำนวนหนึ่งได้ขุดพบซากเจดีย์โบราณที่เนินนาซึ่งอยู่ห่างจากกู่สันตรัตน์ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ500 เมตร หรืออยู่ห่างจากถนนเข้าตัวอำเภอนาดูนทางทิศใต้ประมาณ 100 เมตร ซึ่งบริเวณตรงนั้นเป็นที่นาเจ้าของที่นาปลูกข้าวเป็นประจำทุกปี ไม่เคยคิดว่าจะมีซากโบราณสถานและโบราณวัตถุอยู่ เมื่อขุดลึกลงไปประมาณ 70เซนติเมตร ก็พบก้อนอิฐขนาดใหญ่ และขุดต่อลึกลงไปอีกก็พบพระพุทธรูปทองสำริดปางห้ามญาติบรรจุอยู่ในไหโบราณขนาดใหญ่ พระพุทธรูปทองสำริดที่พบมีหลายขนาดตั้งแต่ 5 นิ้ว จนถึง 14 นิ้ว รวมจำนวนทั้งหมด50 องค์
ข่าวการขุดพบพระพุทธรูปทองสำริดได้แพร่กระจาออกไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนจากหมู่บ้านต่างๆ ในเขตอำเภอนาดูน ต่างออกเสาะหาขุดค้นตามแหล่งต่างๆ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน บางกลุ่มอาศัยการดูลักษณะพื้นที่ด้วยการสันนิษฐาน บ้างก็ใช้วิธีเสี่ยงทายนั่งทางในตามหลักไสยศาสตร์
ครั้นถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2522ชาวนาดูนกลุ่มหนึ่งจำนวน 11 คน ได้ขุดค้นที่บริเวณเนินดินในที่นาของนายทองดี ปะวะภูตา ราษฎรบ้านนาดูน อำเภอนาดูน ลักษณะเนินดินสูงจากระดับพื้นดินเดิมประมาณ 1เมตรเศษ เนื้อดินสีดำยุ่ย มีต้นไม้เล็กๆ ขึ้นปกคลุมอยู่โดยรอบ แต่ตรงกลางจะไม่มีต้นไม้หรือหญ้าเกิดขึ้นเลย มีคันนาล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ครั้งแรกขุดทางด้านทิศตะวันออกของเนินดิน ได้ขุดพบก้อนศิลาแลงจำนวน 3 ก้อน และขุดต่อลงไปอีกลึกประมาณ 1.80 เมตร ก็พบวัตถุจำนวนหนึ่งทำด้วยทองสำริดลักษณะเป็นวงแหวน จำนวน 4 ชิ้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว และพบทองสำริดซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นบางแบนยาวประมาณ 5 นิ้ว วัตถุดังกล่าวผุกร่อนจึงไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้ เมื่อขุดต่อไปทางทิศตะวันตกอีกประมาณ 1 ศอก ก็พบพระพิมพ์ดินเผาปางต่างๆ จำนวนมาก ได้ทำการขุดต่อตลอดทั้งคืนจนสว่างได้พระพิมพ์ดินเผาทั้งหมด 12 กระสอบปุ๋ย และกลบหลุมดินตอน สว่างเพื่อปกปิดไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้เพื่อจะได้ขุดต่อในวันต่อไป
ข่าวการขุดได้พระพิมพ์ดินเผาครั้งนี้ได้กระจายไปอย่างรวดเร็ว ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2522มีประชาชนจำนวนมากได้หลั่งไหลไปขุดค้นหาพระพิมพ์ดินเผาอย่างเนืองแน่น ต่างก็ได้พระพิมพ์เผาไปคนละมากบ้างน้อยบ้าง พระพิมพ์ที่ได้มีทั้งสมบูรณ์และแตกหัก คืนวันที่ 23 พฤษภาคม 2522ชาวนาดูนจำนวนหนึ่งได้ร่วมกันขุดได้พระพิมพ์ดินเผาทั้งสิ้น 6 กระสอบข้าวสาร
วันที่ 24 พฤษภาคม 2522ประชาชนได้เพิ่มทวีมากขึ้นได้เข้าขุดค้นอย่างแน่นขนัด นายทองดี ปะวะภูตา เจ้าของที่นาได้ห้ามไม่ให้ผู้คนเข้าไปขุด โดยกลบหลุมดินทำเป็นแปลงนำพริก มะเขือไปปลูกและล้อมรั้วเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่สามารถห้ามผู้คนเข้าไปขุดได้ พอตกกลางคืนก็ลักลอบเข้าขุดค้น ได้พระพิมพ์ดินเผาเป็นจำนวนมาก ครั้นเวลา 04.00 05.00 น. ของเช้าวันที่ 25 พฤษภาคม 2522ขุดได้พระพิมพ์ทำด้วยศิลาสีเขียวปางนาคปรกขนาดใหญ่ครึ่งองค์ ฐานกว้างประมาณ 50เซนติเมตร สูงประมาณ 70 เซนติเมตร หนาประมาณ 20 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 80กิโลเมตร และเป็นพระพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุนี้ ขณะนี้ไม่ทราบว่าอยู่กับท่านผู้ใด
วันที่ 25 พฤษภาคม 2522มีประชาชนจำนวนมากได้เข้าไปขุดค้นอย่างเนื่องแน่นเช่นเคย และได้พระพิมพ์ดินเผากันทุกคน มีชาวนาดูนจำนวนหนึ่งได้ร่วมกันขุดใต้พระพิมพ์ ดินเผาจำนวน 1 กระสอบข้าวสาร
วันที่ 26 พฤษภาคม 2522ประชาชนยังขุดค้นอยู่เช่นเคย นายทองดี ปะวะภูตา เจ้าของที่นาเห็นว่าไม่สามารถจะห้ามผู้คนเข้าไปขุดค้นได้แล้วจึงได้แจ้งให้นายสมเพช ชื่นตา เจ้าหน้าที่ดูแลโบราณสถานประจำอำเภอนาดูนไปแจ้งให้หน่วยศิลปากรที่ 7ขอนแก่นได้ทราบ
วันที่ 28 พฤษภาคม 2522เจ้าหน้าที่หน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น ประกอบด้วย นายสถาพร ขวัญยืน นักโบราณคดี ระดับ 3 กับพวกรวม 9 คน เดินทางถึงอำเภอนาดูน และขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าคลุมพื้นที่แจ้งให้ประชาชนทราบว่า การกระทำในขณะนี้เป็นการทำลายโบราณสถานโบราณวัตถุ ต่อไปนี้เจ้าหน้าที่จะดำเนินการขุดแต่งเพื่อค้นหาเค้าเงื่อนของโบราณสถานแหล่งนี้ ประชาชนจึงได้งดการขุด
วันที่ 29 พฤษภาคม 2522 ถึงวันที่ 1มิถุนายน 2522 เจ้าหน้าที่หน่วยฯ ได้ทำการขุดแต่งโดยแบ่งเป็นตารางกริด (GRID SYSTEM) ครอบคลุมเนินดินไว้ทั้งหมด และแบ่งเป็น 12 ช่อง แต่ละช่องมีขนาด 4 x 4 เมตร ให้แนวตั้งขนานกับแนวทิศเหนือแม่เหล็ก (MAGNETIC NORTH LINE)การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หน่วยฯ ในตอนกลางวันเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ในตอนกลางคืนประชาชนจะเข้ารุมล้อมอยู่รอบๆ บริเวณขุดแต่งเพื่อคอยโอกาสเข้าขุดค้นรั้วลวดหนามถูกลักลอบตัดขาดทุกคืน
วันที่ 2-5 มิถุนายน 2522ประชาชนจากที่ต่างๆ ได้ว่าจ้างรถพากันไปมุงดูการ ขุดแต่งของเจ้าหน้าที่ทำให้การปฏิบัติงานไม่สะดวก และการรักษาความปลอดภัยยากยิ่งขึ้น เวลากลางคืนหลุมขุดถูกลักลอบทำลาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองได้พยายามชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจ และพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาสถานการณ์ให้เป็นปกติแต่ก็ไม่เป็นผล
วันที่ 6 มิถุนายน 2522 เวลาประมาณ11.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยฯ ได้ปฏิบัติงานอยู่ประชาชนได้เข้ารุมล้อมและเข้าแย่งขุดจนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถต้านทานได้ต้องยุติการขุดแต่งโดยปริยาย ประชาชนได้หลั่งไหลเพิ่มทวีอีกนับเป็นพัน กองกำกับการตำรวจภูธร จังหวัดมหาสารคามได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 50 นายเข้าสลายฝูงชนในตอนเย็น และนำลวดหีบเพลงเข้าล้อมชั้นนอกของเนินดินไว้อีกชั้นหนึ่ง
วันที่ 7 มิถุนายน 2522เจ้าหน้าที่หน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น เริ่มปฏิบัติงานต่อไป ประชาชนยังรุมล้อมกระจายอยู่รอบนอกเหมือนเดิม ตอนบ่ายหัวหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติขอนแก่นเดินทางไปรับโบราณวัตถุสำคัญที่ขุดพบ จำนวน 18 กล่อง เพื่อนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น
วันที่ 8 มิถุนายน 2522การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หน่วยฯ ยากลำบากยิ่งขึ้นเนื่องจากกำลังตำรวจที่กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดมหาสารคามได้ถอนตัวออกไปแล้ว คงเหลือแต่กำลังตำรวจภูธรอำเภอนาดูนเท่านั้น ในตอนเช้ามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่งได้เข้าไปปราศัยกับราษฎรภายในรั้วลวดหีบเพลง ทำให้ราษฎรมีโอกาสเข้าใกล้หลุมขุดแต่งมากยิ่งขึ้น และได้แย่งเจ้าหน้าที่หน่วยฯ ขุดจนไม่สามารถปฏิบัติงานได้ กำลังตำรวจส่วนหนึ่งเข้าระงับเหตุการณ์จึงสามารถปฏิบัติงานต่อไปได้อีก แต่ก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ตลอด นายสถาพร ขวัญยืน หัวหน้าผู้ดำเนินการขุดแต่งเห็นว่า สถานการณ์เริ่มรุนแรงยากลำบากต่อการปฏิบัติงานขุดแต่ง จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่หน่วยฯ ขุดเจาะลงตรงกลางโบราณสถานเวลาประมาณ 11.00 น. เจ้าหน้าที่หน่วยฯ ขุดพบยอดสถูปทองสำริด 1 ชิ้น ประชาชนรุมล้อมมุงดูอยู่เห็นเช่นนั้นจึงเข้าแย่งขุดจนเต็มพื้นที่ไปหมด เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้าอารักขาเจ้าหน้าที่หน่วยฯ จึงสามารถนำโบราณวัตถุออกจากที่เกิดเหตุได้ เครื่องมือของเจ้าหน้าที่หน่วยฯ บางชิ้นก็สูญหาย ไปในระหว่างเกิดเหตุ ในขณะนั้น นายบุญจันทร์ เกษแสนศรี นักการภารโรงที่ดินอำเภอนาดูนได้เข้าไปขุดค้นและพบตัวสถูปทองสำริด 1 ชิ้น นายธีรยุทธ ทรพีสิงห์ ราษฎรบ้านหัวโสก ขุดพบแผ่นทองกลีบบัวซึ่งเป็นที่รองรับองค์สถูป 1 ชิ้น ในตอนบ่ายประชาชนได้หลั่งไหลเพิ่มทวีมากขึ้น เข้าแย่งพื้นที่กันขุดวุ่นวานสับสนอลหม่าน หลายคนเป็นลมคาหลุมขุด มีรถแทรกเตอร์และรถดั้มไปขุดตักดินที่หลุมขุดเสียงดังสนั่นไหวั่นไหวและขนดินไปเทค้นหาโบราณวัตถุที่อำเภอใกล้เคียง นี่คือเหตุการณ์บางส่วนเท่านั้น

อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย รับลมหนาว

 
ฤดูหนาวมาถึงเราอีกรอบ ! ทำให้ใครหลายๆ คน อยากออกเดินทางไปกอดสายหมอก โอบลมหนาวกันสักครั้ง ว่าแล้ว สนุก! ท่องเที่ยว ไม่รอช้า คัดสรรแหล่งท่องเที่ยวรับลมหนาวที่ว่ากันสวยสุดยอด บรรยากาศดี และหลายๆ คนใฝ่ฝันอยากไปเยือนสักครั้ง รับรองว่าไปแล้วไม่เหงาหัวใจแน่นอน
1.ภูทอก อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
 
ภูทอก จุดชมวิวที่ขึ้นชื่อที่สุดของเชียงคาน จังหวัดเลย ท่ามกลางขุนเขาสลับซับซ้อนและวิวแม่น้ำโขงได้สุดสายตา โดยเฉพาะช่วงเช้าจะมีทะเลหมอกขาวปกคลุมเกือบทั้งเทือกเขา ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์อย่างเต็มปอด พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศที่แสนสดชื่น และยังสามารถชมวิวพระอาทิตย์ได้ทั้งขึ้นและตก เรียกได้ว่า สวยงามไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวใดๆ ในเมืองไทยเลยทีเดียว
2. อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จังหวัดพิษณุโลก
อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง มีพื้นที่ครอบคลุม 2 จังหวัด คือ ท้องที่อำเภอวังทอง อำเภอนครไทย อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอเขาค้อ อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ มีสภาพธรรมชาติ ทิวทัศน์ และลักษณะทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแหล่ง เช่น ถ้ำ น้ำตก ทุ่งหญ้าโล่งใหญ่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด และในฤดูหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ อากาศจะหนาวเย็นมากเหมาะแก่การไปท่องเที่ยว พันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ไม้สนสองใบ มะม่วงป่า ประดู่ และทุ่งหญ้าที่เป็นพื้นที่โล่งกว้างใหญ่มีสนและไม้ดอกขึ้นสลับกันอยู่ สามารถมากางเต็นท์ได้ ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ทุ่งนางพญาและทุ่งโนนสน แต่ 2 ที่หลังนี้ไม่มีบริการไฟฟ้าและห้องน้ำอยู่กันแบบธรรมชาติล้วนๆ กิจกรรมที่นิยมมากคือการขี่จักรยานเที่ยวชมธรรมชาติรอบๆ อุทยานฯ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง โทร. 0-5526-8019
3.สถานีพัฒนาการเกษตรฯ ภูพยัคฆ์ จังหวัดน่าน
สถานีพัฒนาการเกษตรฯ ภูพยัคฆ์ ตั้งอยู่ใน ต.ขุนน่าน อ. เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน ขึ้นบนพื้นที่กว่าแสนไร่ เปิดต้อนรับคนรักธรรมชาติที่อยากสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ มีทัศนียภาพงดงาม มองไปเห็นนาขั้นบันไดเรียงตัวยาวไกลสุดสายตา กินผักสดปลอดสารพิษ และเดินเที่ยวสวนมัลเบอร์รีที่มีสีสันสวย รสเปรี้ยวอมหวาน ออกผลเป็น 2 ช่วง คือช่วงเดือนกุมภาพันธ์จนถึงต้นเดือนพฤษภาคม และช่วงเดือนตุลาคมไปจนถึงมกราคม ในช่วงหน้าหนาวนี้เอง อากาศจะเย็นสบาย มีหมอกตอนเช้า หากได้มาเก็บมัลเบอร์รีช่วงนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดียิ่งนักท่องเที่ยว
4.ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์
สำหรับท่านใดที่ชอบท่องเที่ยวแบบใกล้ชิดธรรมชาติ สัมผัสทะเลหมอกบนยอดภูเขา ชื่นชมความเขียวขจีของพรรณไม้ สูดอากาศบริสุทธิ์ เป็น "จุดชมทะเลหมอก" ที่สวยงามและอลังการอีกแห่งหนึ่งต้องไม่พลาดที่นี่เลย "ภูทับเบิก" จ.เพชรบูรณ์ อากาศเย็นสบายตลอดปี ในตอนเช้ามีหมอกและกลุ่มเมฆ มองเห็นเป็นทะเลหมอกตัดกับยอดภูสีเขียว เป็นแหล่งปลูกกะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภูทับเบิกเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และดึงดูดใจนักท่องเที่ยวที่นิยมสัมผัสแก่นแท้วิถีชีวิต วัฒนธรรมชุมชน และแหล่งธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่กำลังมีกระแสความนิยมอยู่ทั่วไป ภายใต้คำกล่าวที่ว่า "นอนทับเบิก สัมผัสความหนาว ดูดาวบนดิน"
5.ดอยหัวแม่คำ จังหวัดเชียงราย
หนึ่งใน Unseen Thailand ที่งดงามราวกับสวรรค์บนดิน ต้องยกนิ้วให้ ดอยหัวแม่คำ จังหวัดเชียงราย เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากชื่อเสียงระบือไกลของดอกไม้งามนามว่า "บัวตอง" นั้นจะเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งหุบเขาที่กว้างใหญ่ และยังเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขาเผ่าต่างๆ ทั้ง อาข่า ม้ง ลีซอ ลาหู่ ทำให้ได้สัมผัสชีวิตชาวดอยอย่างใกล้ชิด ดอยหัวแม่คำ ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง นอกจากการเดินชมทิวทัศน์ และวิถีชีวิตของชนเผ่าแล้ว ยังมีวนอุทยานดอยหัวแม่คำ เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของดอยหัวแม่คำ ซึ่งควรที่จะตื่นมาตั้งตารอแต่เช้าตรู่ เพราะจะได้พบกับทะเลหมอกอันกว้างใหญ่ ที่ทอดกายปกคลุมภูเขาน้อยใหญ่สลับเรียงรายกันไปมา ดุจดั่งล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์เลยทีเดียว
6.อุทยานแห่งชาติภูเรือ จังหวัดเลย
อุทยานแห่งชาติภูเรือ มีอาณาเขตด้านทิศเหนืออยู่ติดกับประเทศลาว มีรูปพรรณสันฐานเหมือนเรือใหญ่บนยอดดอยสูง โดยรอบๆ จะเห็นยอดดอยเป็นขุนเขาน้อยใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกละอองขาว และป่าอันอุดมสมบูรณ์ โดยมียอดเขาสูงที่สุดคือ ยอดภูเรือ มีความสูง 1,365 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นหน้าผาสูงชัน พื้นที่โดยรอบปกคลุมด้วยป่าสนเขา ทั้งสนสองใบและสนสามใบ สลับกับลานหินธรรมชาติ มีอากาศเย็นตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะหนาวเย็นมาก จนกระทั่งน้ำค้างบนยอดหญ้าจะแข็งตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งมีภาษาพื้นเมืองเรียกว่า "แม่คะนิ้ง" ผู้ที่จะไปพักผ่อนจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมที่จะผจญกับความหนาวเย็น
7.ยอดเขาช้างเผือก จังหวัดกาญจนบุรี
ยอดเขาช้างเผือก แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ การขึ้นมามาพิชิตยอดเขาช้างเผือก เป็นอีกหนึ่งทริปในฝันของนักท่องเที่ยว นักถ่ายภาพ นักผจญภัย ที่ต้องหาโอกาสมาสัมผัสกันให้สักครั้ง หน้าหนาวนี้หากคุณยังไม่มีโปรแกรมในใจที่ไหนเป็นพิเศษ ตามมาพิชิตยอดเขาช้างเผือกด้วยกัน แล้วคุณจะเห็นว่า แหล่งท่องเที่ยวใกล้กรุงอย่างภาคกลาง ยังมีอะไรให้คุณได้ตื่นตาตื่นใจอีกเยอะ ดินแดนแห่งธรรมชาติอัศจรรย์ แดนสวรรค์ตะวันตก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ททท. สำนักงานกาญจนบุรี โทร.0 3451 1200
8.อุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกิน จังหวัดน่าน
ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวที่กำลังวางแผนจะเดินทางมาท่องเที่ยวภาคเหนือในฤดูหนาวนี้ มาสัมผัสอากาศหนาว และชมความงามของทะเลหมอก รวมทั้งร่วมค้นหาความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่อุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกิน ตำบลยอด อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน อุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกินมีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหินปูนที่มีลักษณะสวยงาม ประกอบไปด้วยแท่งเขาหินปูน และหน้าผาจำนวนมาก จึงทำให้มีสถานที่ที่สามารถมองชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามในลักษณะมองมุมสูง และไกลหลายแห่ง ทั้งบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติ และลานกางเต็นท์บริเวณฐานปฏิบัติการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในอดีตบริเวณดอยจี๋ นอกจากนี้ภายในอุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกินยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปค้นหาความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอีกมากมาย
9.ดอยอ่างขาง จ. เชียงใหม่
สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ โครงการหลวง ท่ามกลางสวนพันธุ์ไม้กับอากาศดีๆ ดอยอ่างขางพร้อมให้คุณไปสัมผัส ทั้งความสวยงามของบรรยากาศ คุณค่าที่ชาวบ้านในท้องถิ่นได้รับจากโครงการหลวงแห่งนี้ ที่ทำให้ชาวบ้านเลิกปลูกฝิ่น แล้วหันมาปลูกสตรอเบอร์รี่ ชา และไม้ผลเมืองหนาวอื่นๆ แทน บ้านคุ้ม เป็นหมู่บ้าน ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าสถานีฯ อ่างขางเลย บรรยากาศจะเหมือนเดินอยู่ในเมืองจีน เพราะที่นี่ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ไทใหญ่ และมูเซอดำบางส่วน ที่นี่ยังมีบริการที่พัก และสามารถหาของกินได้มากมาย อาทิ ขาหมูยูนนาน หมันโถวร้อนๆ บะหมี่สดยูนนาน ผลไม้แปรรูป ชาต่างๆ และเพื่อให้ได้อารมณ์สุดๆ ก็คือ การกางเต้นท์นอน ในโรงเรียนบ้านคุ้ม ซึ่งสามารถยืมชุดเครื่องนอนในโรงเรียนได้ แล้วก็หย่อนเงินลงกล่องบริจาคให้โรงเรียนแทน จากนั้นพอตกดึก เราก็สามารถก่อกองไฟ สำหรับการคลายหนาวลงไปได้บ้าง พอรุ่งสาง เราสามารถใช้บริการมัคคุเทศก์ตัวน้อย เพื่อให้พาไปเที่ยวในสถานที่ใกล้เคียงอื่นๆ ได้อีกด้วย อาทิ จุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ไร่สตรอเบอร์รี่ ไร่ชา หมู่บ้านขอบด้ง บ้านนอแล พระธาตุดอยอ่างขาง เป็นต้น รับรองว่า เด็ด!
10.เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
เป็นอีกสถานที่ชื่อดังในเมืองไทยที่ว่ากันว่าอากาศดีสุดๆ จนได้รับฉายาว่า "สวิสแลนด์แดนสยาม" หลายคนที่เคยมาพักผ่อนติดอกติดใจจนต้องมาเป็นครั้งที่สอง และในครั้งที่สองเราอยากจะขอแนะนำให้ไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวในเขตทหารบนยอดเขาค้อที่คุณอาจเคยพลาดไป และจะเป็นการดีมากหากใครที่ยังคิดเคืองติดใจกับทหารที่มีแต่ข่าวไม่ดีเราจะได้รู้ว่าพวกเขาก็คือคนที่ติดทองอยู่หลังพระทุกที่ทั่วแดนไทย ไม่เว้นแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยว ความสนุกสนานข้างบนเขาค้อยังมีน้ำตกและแห่ลงแอนเวนเจอร์ที่หลากหลายสไตล์ที่คุณจะได้สัมผัส และเราก็หวังว่าคุณจะไม่พลาดที่จะไปสูดอากาศดีๆ เข้าปอดกันนะ

คริสต์มาส Merry Christmas ทุกท่าน

คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ แผนที่



เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์
เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์
เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์


เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์


เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าแหล่งท่องเที่ยวและช้อปปิ้งไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่าง เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ (ASIATIQUE, The Riverfront) จะทวีความแรงขึ้นเรื่อย ๆ อาจเพราะด้วยรูปลักษณ์ที่ตอบโจทย์ บวกกับบรรยากาศและทัศนียภาพที่แปลกใหม่ สวยงาม รวมถึงตกแต่งด้วยสไตล์สถาปัตยกรรมในช่วง พ.ศ. 2450 ถึง พ.ศ. 2490 จึงไม่แปลกที่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ จะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ในระยะเวลาไม่นาน

เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปสัมผัสกับสีสันแห่งประวัติศาสตร์ เสน่ห์ย่านการค้าที่พร้อมเปิดตัวกว่า 1,500 ร้าน ความอร่อยที่มีระดับจากหลากหลายร้านอาหารชื่อดังกว่า 40 ร้าน และโชว์พิเศษต่าง ๆ ที่พร้อมสร้างความประทับใจ เอ้า! ใครพร้อมแล้วก็ตามเราไปเที่ยว เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ กันเลยดีกว่า...

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ถือกำเนิดขึ้น ภายใต้แนวคิด Festival Market and Living Museum แหล่งท่องเที่ยวและไลฟไสตล์ช้อปปิงริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เป็นพื้นที่ซึ่งได้ออกแบบให้พร้อมด้วยองค์ประกอบหลากหลาย เพื่อรองรับและเติมเต็มความต้องการของนักท่องเที่ยวและคนหลากหลายกลุ่มได้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น...

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์
เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

ย่านเจริญกรุง ประกอบไปด้วย ร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว และสินค้าของตกแต่งบ้าน ที่สวยงามหลากหลาย อีกทั้งยังมีโรงละคร ที่รองรับผู้ชมได้กว่า 400 ที่นั่ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบศิลปวัฒนธรรมไทยกับหุ่นละครเล็ก โจหลุยส์ หรือโชว์สุดอลังการจากคาลิปโซ่ รวมถึงร้านอาหารชั้นนำ

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์
ย่านกลางเมือง เป็นลานจัดกิจกรรมกลางแจ้ง และโซนอาหารนานาชาติ ที่รวบรวมอาหารขึ้นชื่อจากประเทศต่าง ๆ ในบรรยากาศง่าย ๆ สบาย ๆ พร้อมรื่นเริงไปกับ เครื่องดื่มและเบียร์เย็น ๆ ที่ Asia House

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์
เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์
เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์
ย่านโรงงาน เป็นแหล่งพบปะสังสรรค์แห่งใหม่บนถนนเจริญกรุง ที่รวบรวมร้านอาหาร ผับ และร้านค้ามีสไตล์มากมาย ให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจหลังเลิกงาน พรั่งพร้อมไปด้วยสินค้าแฟชั่น และของประดับตกแต่งให้เลือกซื้ออย่างจุใจ ในบรรยากาศสนุกสนานยามค่ำคืน

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์
เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

ย่านริมน้ำ ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศแบบพาโนราม่า ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีสายลมเย็น ๆ พัดผ่านสร้างความสบาย ด้วยทางเดินริมแม่น้ำที่ยาวกว่า 300 เมตร พบร้านอาหารมีระดับมากมาย ทั้งอาหารญี่ปุ่น อิตาเลี่ยน ไทย จีน และซีฟู้ด

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์
เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์
นอกจากนี้ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ได้สอดแทรกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อเป็นการให้ความรู้ในลักษณะจดหมายเหตุ เกี่ยวกับความสำคัญในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น วิถีชีวิตริมแม่น้ำเจ้าพระยา การค้าขายกับต่างประเทศในยุคล่าอาณานิคม พร้อมบอกเล่าถึงความเจริญของสถาปัตยกรรมในยุคนั้น ด้วยการปรับปรุงอาคารเก่า และรักษาโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมในสภาพเดิมไว้เกือบทั้งหมด

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์

เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ แผนที่

โฆษณา